tag:blogger.com,1999:blog-37302099397037457912024-02-19T16:03:33.666+07:00งานนิทรรศการหนังสือ ดอนกิโฆเต้ฯ ที่ธรรมศาสตร์27 มิถุนายน -20 กรกฎาคม 2550Don de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.comBlogger27125tag:blogger.com,1999:blog-3730209939703745791.post-40442525600190196702007-07-16T01:25:00.000+07:002007-07-16T01:25:36.340+07:00นวนิยายดีที่สุดในโลก ดีอย่างไร<p><span style="color:#993399;">รายงานโดย เจ้าหญิงมิโกมิโกน่า</span></p><p>เสาร์ที่ 14 กรกฎาคม 2550 13.30 น. <br />เสวนา ‘นวนิยายดีที่สุดในโลก : ดีอย่างไร’ โดย วัลยา วิวัฒน์ศร, ปณิธิ หุ่นแสวง และมกุฏ อรฤดี</p><p><span style="color:#993399;">มกุฏ :</span> ผู้แปลชาวเกาหลีเคยถามว่าประเทศคุณเพิ่งแปลดอนกิโฆเต้ฯ หรือ เวียดนามแปลก่อนเราเกือบสามสิบปี จึงรู้สึกกระตือรือร้นเมื่อหอสมุดธรรมศาสตร์ติดต่อให้จัดนิทรรศการ สำนักพิมพ์ผีเสื้อพิมพ์หนังสือหนึ่งร้อยเล่มมอบให้ธรรมศาสตร์ ก่อนหน้านี้มอบให้ห้องสมุดเรือนจำสามร้อยเล่ม เพราะห้องสมุดเรือนจำน่าจะมีคนที่มีการศึกษาเข้ามาอยู่มากในอนาคต หรือไม่ก็ให้ผู้ที่อยู่ในเรือนจำมีความรู้เพิ่มขึ้น<br /><br />ความรู้สึกของสำนักพิมพ์ขณะจัดทำดอนกิโฆเต้ฯ เป็นภาษาไทย ซึ่งคุณเวียง วชิระ บัวสนธ์ กล่าวถึงตัวผมว่าบ้าที่จะทำหนังสือเล่มนี้ ผมก็เห็นว่าสี่ร้อยปีก่อน เซร์บันเตสก็บ้า มีคำขอบคุณมากมายในหนังสือ ซึ่งแท้จริงแล้ว คนที่เขียนอุทิศให้เหล่านี้ไม่ได้เป็นผู้อุปถัมภ์เซร์บันเตส ตอนที่เขาเขียนต้นฉบับก็ไปหาคนเหล่านี้ แต่ไม่ได้รับความช่วยเหลือ คนเราถ้าไม่บ้าเสียก่อน คงไม่อยู่มาได้ถึงสี่ร้อยปี หนังสือเล่มนี้อยู่ได้ถึงสี่ร้อยปีด้วยความบ้า อยากให้มหาวิทยาลัยไทยมีดอนกิโฆเต้ฯ ฉบับของตัวเอง ต่อไปขอเชิญ อ. ปณิธิ กับ อ. วัลยา<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. ปณิธิ : </span>ที่จริงแล้ววันนี้ผมกับ อ. วัลยา ควรไปอยู่สถานทูตฝรั่งเศสมากกว่า เพราะเป็นวันชาติฝรั่งเศส หัวข้อเสวนาวันนี้คือ 'นวนิยายดีที่สุดโลก ดีอย่างไร' ต้องบอกว่าดีที่สุดในโลก หรือดีสำหรับคนนี้ คนนั้น แต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน ในสายตาผม หนังสือดีที่สุดคือหนังสือที่ตกในมือของผู้อ่านในอุดมคติ คือผู้อ่านที่ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย อย่างผมกับ อ. วัลยา อ่านมามาก เรียนมามาก อย่างที่คุณมกุฏเตรียมที่ไว้ให้แล้วในเรือนจำ เราเป็นนักอ่านที่ polluted คือมีกรอบ มีอคติ มีความคาดหวังต่างๆ ผมในฐานะคนสอนวรรณกรรมจะบอกว่าดีที่สุดนั้นดีอย่างไร<br /><br />มีศาสตราจารย์คนหนึ่งมาจากแคนาดา คนขับรถจากอีสานของเขาอ่านดอนกิโฆเต้ฯ อ่านอย่างชอบมาก อ่านได้เรื่อยๆ เขาอ่านหนังสือนี้ได้ในฐานะเป็นนักอ่านบริสุทธิ์ แสดงว่าหนังสือต้องดี ดีแม้กระทั่งนักอ่านที่ไม่ได้คาดหวังอะไร เสียดายที่คนทั่วๆ ไป เห็นหนังสือก็กลัวแล้ว<br /><br />ที่หนังสือดีเพราะสำนักพิมพ์จัดทำหนังสือสวย ผมภูมิใจ ไปไหนก็ถือไปด้วย คืออย่างนี้ครับ หนังสือที่สามารถจะฉลองหนึ่งร้อยปีมาได้สี่ครั้ง ไม่ใช่หนังสือธรรมดาแน่ๆ ปีที่ดอนกิโฆเต้ฯ ตีพิมพ์คือปีเดียวกับที่เช็กสเปียร์นำบทละคร แฮมเล็ต มาแสดง พี่เบิ้มยักษ์ใหญ่ในวรรณกรรมตอนนั้นคือเช็กสเปียร์ ในปีนั้นโลกวรรณกรรมยังมีที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันคือดอนกิโฆเต้ ทำไมหนังสือเล่มนี้ยังฉลองมาได้สี่ร้อยปี และคงฉลองได้เรื่อยๆ<br /><br />หนังสือเล่มนี้เมื่อแต่งแล้ว ผู้แต่งมอบให้คนอ่าน ไม่ได้แสดงตัวว่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ วิธีที่มอบให้คนอ่านทำอย่างไร ข้อสังเกตส่วนตัวของผมคือคนแต่งไม่ได้แสดงตัวมากในบท ผู้เขียนกล่าวในคำนำว่าหนังสือเล่มนี้ถึงเป็นลูก ก็เป็นแต่เพียงลูกเลี้ยง เสมือนว่าตัวเองเป็นแต่เพียงผู้เรียบเรียงเรื่องที่มีผู้บันทึกไว้ในเอกสารที่แคว้นลามันช่า ในบทที่เก้า ดอนกิโฆเต้ออกผจญภัยไปพบชาวบาสก์ เงื้อดาบ แล้วท้ายบทก็บอกว่าต้นฉบับขาดเพียงเท่านี้ เหมือนดูดีวีดีหมดม้วน ไม่มีแล้ว บทที่สิบ ผู้เล่าบอกว่าไปเที่ยวตามหาต้นฉบับ จนวันหนึ่งไปเจอในเมืองโตเลโด้ ไปพบเอกสารตอนต่อจากเรื่องในบทที่เก้า ปรากฏว่าต้นฉบับเป็นภาษาอาหรับ เขียนโดยนักประวัติศาสตร์ ต้องเอาต้นฉบับไปให้คนแปลเป็นภาษาสเปน แค่นี้ก็เป็นความสมัยใหม่ สำหรับผมนะฮะ ในที่สุดแล้ว เซร์บันเตสไม่แสดงตัวกับผู้อ่านเลยว่าหนังสือเล่มนี้เป็นงานเขา แต่เป็นงานใครไม่รู้ เซร์บันเตสถอนตัวจากผลงานเล่มนี้อย่างสิ้นเชิง อำพรางตัวเอง หนังสืออะไรก็ตามที่ผู้เล่าไม่ได้บอกว่าตัวเล่า ก็จะมีเสียงคนอื่น จนเราไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นคนเล่า เมื่อเราระบุไม่ได้ ความเข้าใจของเรา การตีความต่างๆ ก็จะเป็นของผู้อ่านอย่างเดียว ผู้อ่านจะเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ<br /><br /></p><blockquote><span style="color:#000099;">"ท่านย่อมมีอิสระเสรีเต็มที่ ปราศจากข้อบังคับหรือข้อกริ่งเกรงใดๆ<br />ท่านย่อมติชมความดีหรือไม่ดีของนิยายเรื่องนี้ได้ตามพึงพอใจ<br />มิพักต้องหวั่นเกรงว่าจะมีผู้ติฉินหากกล่าววิพากษ์ หรือจะมีผู้ยกย่อง<br />แม้นท่านกล่าวชมเชย"<br /></span>-- อารัมภบท ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน</blockquote><p><br /><br />ในอารัมภบท เซร์บันเตสให้อิสระผู้อ่านว่าจะตัดสินนิยายเรื่องนี้อย่างไร เป็นอิสระของผู้อ่านที่จะตีความ คุณมกุฏอ่านแล้วมีความเห็นอย่างหนึ่ง อ. วัลยาอ่านแล้วมีความเห็นอย่างหนึ่ง ผมอ่านแล้วมีความเห็นอย่างหนึ่ง ไม่มีใครบอกว่าฉันชนะแล้วเพราะค้นพบความจริง ไม่มี ดังนั้น จะมีความหมายพอกพูนใหม่ตลอดเวลา ดังนั้นความดีข้อแรกของนวนิยายเรื่องนี้ คือเป็นความเอื้อเฟื้อของผู้ประพันธ์ที่มอบงานให้ผู้อ่านตลอดเวลา<br /><br />หนังสือว่าด้วยเรื่องอะไร คุณมกุฏบอกว่าเป็นเรื่องของคนบ้า หนังสือที่ว่าด้วยคนบ้า ไม่รู้ว่าบ้าหรือดี เป็นลักษณะประจำของดอนกิโฆเต้ พอเอ่ยชื่อดอนกิโฆเต้ ทุกคนรู้ว่าคือคนที่ไม่สามารถแยกความจริงจากความลวง เป็นตำนานที่คนรู้จักทั่วๆ ไป เช่นรู้จักดาวพระศุกร์ โกโบริ แม้จะไม่เคยอ่าน ถ้าถามผม ความสนุกคือการผจญภัยต่างๆ สู้กับสีลม มากมายก่ายกอง<br /><br />เนื้อหาอย่างหนึ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมคือดอนกิโฆเต้ฯ เป็นนวนิยายของนวนิยาย เป็นหนังสือที่ว่าด้วยนวนิยาย เอาปัญหาของนวนิยายขึ้นมาถก มาเล่า มาแรกสอดในตัว นวนิยายเล่มนี้เมื่อเปิดขึ้นมา พบว่าตัวเอกของเรื่องออกผจญภัยเพราะอ่านหนังสือมาก อะไรที่ทำให้ดอนกิโฆเต้แต่งชุดเกราะออกเป็นอัศวินพเนจร เพราะเขาอ่านหนังสือมากจนเสียสติไป ประเด็นนี้สำหรับผมน่าประทับใจมากๆ เอ๊ะ เราอ่านหนังสือจนเสียสติ หนังสือที่ใครบอกว่าทำให้มีสติปัญญา คุณมกุฏที่อ่านหนังสือมาก จะเป็นคนเสียสติเพราะหนังสือหรือเปล่า วรรณกรรมสมัยหลังๆ เอาปัญหานี้มาเป็นปัญหาใหญ่สำหรับตัวละคร เช่น มาดามโบวารี อ่านแต่เรื่องรัก เรื่องรักต้องโรแมนติก ทรมานใจ โบวารีเป็นอย่างนั้นก็เพราะหนังสือ หรือเช่นในเรื่อง โรบินสัน ครูโซ คงจำได้ว่าครูโซออกไปเผชิญชีวิตในเกาะ ใช้ชีวิตตามลำพัง ในหนังสือ Serious Reflections of Crusoe เดอโฟ สมมติให้ครูโซเขียนหนังสือเล่มนี้ บ่นว่ามีคนตำหนิชีวิตเขาประหนึ่งว่าเขาได้ออกทะเลไปมีชีวิตอย่างที่เล่าในนั้น แต่ตัวจริงมีชีวิตบนบกมากกว่าทะเล ครูโซตอบว่าแน่นอน ตัวเขาไม่เคยเห็นทะเล แต่เวลาเราอยู่คนเดียว ถ้ามีชีวิตที่เข้ากับใครไม่ได้ ไม่สามารถมีที่อยู่อยางชัดเจน มีความสุขในสังคม อย่างนั้นไม่เหมือนเราติดเกาะหรอกรึ ในวรรณกรรมหลายเรื่อง ได้นำสิ่งที่มีอยู่จริงมาแทนที่อีกสิ่งหนึ่ง เพื่อแทนความหมายของสิ่งหนึ่ง จะแปลกอะไรถ้าเอาสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงมาแสดงความคิดของเขา<br /><br />เช่นดอนกิโฆเต้ สมมติสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง สมมติให้โลกของเขาเป็นโลกที่ตรงกับจินตนาการ ปัญหาของดอนกิโฆเต้เป็นปัญหาเจ็บแสบยิ่งกว่า เวลาอ่านหนังสือมากๆ จะคิดว่าโลกเราเป็นเหมือนหนังสือที่อ่านในห้องสมุด ครูโซเพียงแต่เอาแนวคิดที่ไม่มีจริงมาแทนสิ่งจริง ดอนกิโฆเต้บังคับให้โลกของเขาเป็นไปอย่างที่เขานึก ไม่ได้หลงในความจริงความลวง แต่บังคับให้โลกเป็นไป บังคับให้มีปิศาจ เป็นอัศวินมาโจมตี สีลมกลายเป็นอสุรกาย ปกติไม่มีใครทำได้ ความยิ่งใหญ่ของหนังสือคือ ถึงแม้จะเป็นแรงบันดาลใจให้นักเขียนคนอื่น ก็ยังไม่มีใครให้ตัวละครบังคับให้โลกเป็นแบบที่เขาเป็น เมื่อดอนกิโฆเต้ออกเดินทางไปแล้ว เขาอ่านชีวิตของตัวเอง เพราะบทแรกๆ บอกว่าอ่านหนังสือบางเล่มค้างไว้ยังไม่จบ เขาปรารถนาจะเขียนต่อ แต่ยังไม่ได้เขียน สุดท้ายเขาไปใช้ชีวิต บังคับให้โลกเป็นอย่างที่เขาเป็น คนอย่างดอนกิโฆเต้อาจเป็นคนอย่างคุณมกุฏ ตอนแรกใช้ชีวิตด้วยการอ่าน แต่คุณมกุฏอาจเป็นบั้นปลายของดอนกิโฆเต้ ไม่ใช่ตอนเขาหามกลับมากะร่อกะแร่นะครับ ที่สุดแล้วดอนกิโฆเต้ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ แต่เขาอ่านชีวิตของตัวเอง วรรณกรรมเป็นชีวิตจริงๆ ของดอนกิโฆเต้ อยู่ด้วยกันแนบแน่นสนิท แยกจากกันไม่ได้ อินกับวรรณกรรม หนังสือทำให้ชีวิตเราเป็นอย่างดอนกิโฆเต้หรือเปล่า ถูกหรือผิด ใช่ไม่ใช่<br /><br />คนอื่นก็มองวรรณกรรมเหมือนกัน เมื่อดอนกิโฆเต้ออกผจญภัยครั้งแรกสองวัน มีเพื่อนไม่กี่คน คือบาทหลวงและกัลบก แม่บ้านให้เอาหนังสือไปสำเร็จโทษ ทั้งคู่ทำหน้าที่เป็นนักวิจารณ์ เป็นยาม เป็นคณะกรรมการระแวดระวังทางวัฒนธรรมสำหรับดอนกิโฆเต้ ถ้าเรารักหนังสือจริงๆ อย่างผมไม่รู้จักหนังสือที่บาทหลวงยกขึ้นมาเลย รู้จักบางเล่มเท่านั้น แต่เราจะรู้สึกว่าถูกต้องหรือเปล่าที่เอาหนังสือไปเผา ตอนนี้เรามีคณะกรรมการเซ็นเซอร์ จัดเรทติ้ง เยอะไปหมด เจ็บแสบกว่านั้น หนังสือบอกว่าบาทหลวงจบจากมหาวิทยาลัยซีเกวนซ่า เป็นมหาวิทยาลัยไม่มีชื่อเสียง คนที่เอาหนังสือดอนกิโฆเต้ไปเผาคือบาทหลวงจากวัดบ้านนอก จบจากมหาวิทยาลัยบ้านนอก<br /><br />ถ้าดอนกิโฆเต้อ่านหนังสือจนสติแตก ที่บาทหลวงตั้งตัว โดยปรึกษารองประธานคือกัลบก ถามว่าสิ่งที่บาทหลวงกระทำ ทำถูกหรือเปล่า นี่คือตอนต้น ตอนท้ายของหนังสือ บาทหลวงไปอภิปรายคุณค่าหนังสือกับท่านเจ้าวัด ตอนท้ายจบด้วยการวิจารณ์คุณค่าหนังสือ เจ้าวัดเริ่มลังเลกับความเห็นของบาทหลวง สุดท้ายผู้อ่านจะไม่รู้ว่าความเห็นใดถูก ดอนกิโฆเต้อาจจะถูกก็ได้ ชีวิตดอนกิโฆเต้อาจเป็นชีวิตที่ถูกก็ได้<br /><br />บาทหลวงไปเจอหนังสือของเซร์บันเตสในห้องสมุดดอนกิโฆเต้ บอกว่าเขียนไม่ได้เรื่องเลย ชอบเสนอบางอย่างแต่ไม่สรุป นี่คือลักษณะสำคัญของเซร์บันเตส เซร์บันเตสจะเสนอบางอย่างไว้ แล้วเสนออีกอย่างมาโต้เถียงตลอดเวลา ทำให้ผู้อ่านลังเล ครุ่นคิด และหาคำตอบด้วยตัวเองตลอดเวลา ลักษณะหนังสือแบบนี้ชี้ให้เห็นว่าตัววรรณกรรมมีแง่มุมอะไร ความประพฤติตัวละครมีแง่มุมที่จะชี้ว่าถูกผิดได้อย่างไร ใครจะเป็นคนเห็น คนตัดสินใจ ทฤษฎีวรรณกรรมถือว่าดอนกิโฆเต้ฯ เป็นนวนิยายเล่มแรกของโลก มีคนบอกว่าไม่แน่ แต่สรุปได้ว่า ดอนกิโฆเต้ฯ เป็นนวนิยายสมัยใหม่เล่มแรกของโลก คือเป็นวรรณกรรมที่ตั้งคำถามตัวเอง วรรณกรรมสมัยใหม่จะตั้งคำถามเกี่ยวกับตัววรรณกรรมเอง เช่นงานของ วินทร์ ของ ปราบดา หยุ่น ตั้งคำถามว่าจะเล่าเรื่อง จะเล่ายังไง เพราะคนเล่ากันหมดแล้ว ควรทดลองอย่างไร เล่าเรื่องให้คนอ่านปวดหัวยังไง แต่วรรณกรรมเรื่องนี้ทำมาก่อนแล้ว ตั้งคำถามแล้ว<br /><br />หนังสือนี้เป็นเรื่องของอัศวินพเนจร แต่ดอนกิโฆเต้ไม่ได้ไปไหนไกลเลย กว่าจะตั้งชื่อม้าตั้งหลายวัน แต่เดินทางไปสองวันก็แอ้งแม้งกลับมา เดินทางคราวที่สองก็ไม่ได้ออกจากแคว้นลามันช่า ผมเคยบอกว่าอย่างนี้ขอได้แค่ใบอนุญาตมัคคุเทศก์ท้องถิ่น ลองเทียบกับ ก็องดิด ของวอลแตร์ ออกไปทุกทวีปเลย จากเยอรมันไปคอนสแตนติโนเปิล แต่พ่อเจ้าประคุณของเราอยู่ใกล้ๆ นี้เอง ถึงอย่างไรก็ตาม หนังสือพาเราไปในโลกกว้าง ผู้ประพันธ์เล่าเรื่องมีตัวละครทุกรูปแบบ นิทาน คำกลอน บทเพลง นวนิยายท้องทุ่ง นวนิยายเสเพล มีเรื่องเล่าซ้อนมากมายก่ายกอง เรื่องย่อยเหล่านี้พาเราไป ให้ขอบฟ้าของหนังสือเล่มนี้กว้างไกลออกไป ทั้งๆ ที่อัศวินหน้าเศร้าของเราหน้าเศร้าแต่บริเวณบ้านนั่นเอง ขณะเล่าก็มีการคอมเมนต์ไปด้วย เล่าแบบไหนดี แบบนี้ดีกว่า เล่าๆ ไป ที่ว่าตัวเล่าดีกว่าก็ไม่ดี ตัวเอย่างเช่น ดอนกิโฆเต้พเนจรไปเรื่อยๆ ซานโช่ไม่อยากให้ดอนกิโฆเต้เดินทางต่อไป ก็เล่านิทานเรื่องแพะ ชายคนหนึ่งเลี้ยงแพะ ฯลฯ ดอนกิโฆเต้บอกว่าเล่าอย่างนี้ไม่ดี ไม่ลำดับความ จะเล่าอะไรต้องเล่าลำดับความ ซานโช่บอกว่านิทานบ้านผมเล่าแบบนี้ นอกจากว่าท่านจะมีวิธีไหนที่จะเสนอก็บอกสิ ดอนกิโฆเต้บอกว่าการเล่าต้องเป็นเหตุผลตามลำดับความถึงจะดี<br /><br />ลองอ่านหนังสือเล่มนี้สิครับ มีแต่ข้าม ไม่เป็นไปตามลำดับเหตุการณ์เลย เมื่อดอนกิโฆเต้พบทาสพายเรือ ดอนกิโฆเต้ชื่นชมว่าอัตชีวประวัติดีที่สุด เพราะจะต้องเล่าเรื่องจริง นัยว่าหนังสือที่ดีต้องเล่าเรื่องจริง แต่นิยายนี้ไม่ได้เล่าอะไรที่จริงเลย ดอนกิโฆเต้อยู่ในโลกที่ตัวสร้างขึ้น ด้วยความไม่จริง เป็นความลวง ดอนกิโฆเต้ประสบอะไรต่างๆ มากมาย มีเรื่องไหนไม่มีความบังเอิญบ้าง เรื่องไหนน่าเชื่อบ้าง ดูเป็นจริงได้บ้าง เรื่องอื่นๆ ล้วนแต่มหัศจรรย์เกินจริงมากไปกว่าเรื่องของดอนกิโฆเต้<br /><br />เมื่อดอนกิโฆเต้เป็นคนบ้า เอาเครื่องแต่งตัวอัศวินสมมติมาใส่ ผู้หวังดีก็รักษาด้วยความบ้าเหมือนกัน พระปลอมตัวเป็นผู้หญิง การรักษาอาการบ้าของดอนกิโฆเต้ก็รักษาด้วยการต้องทำเป็นบ้าเหมือนกัน เต็มไปด้วยการพรางตัว ถ้าดอนกิโฆเต้บ้า อัศวินกะรุ่งกะริ่งไม่บ้าหรือ ทำไมไม่ไปว่าอัศวินกะรุ่งกะริ่งบ้าง นอกจากเนื้อหาแล้ว เทคนิควิธีบอกว่าอย่าอ่านอย่างนี้ อย่าเชื่ออย่างนั้น ไม่ได้เป็นอย่างนี้เสมอไป อ่านแล้วอย่าอ่านเอาเรื่อง เซร์บันเตสเสนอแต่ไม่สรุป ไอ้ไม่สรุปนี่แหละครับคือความดี กลไกดำเนินเรื่อยไปตลอดเวลา ขณะนี้เราสนใจเรื่องสัมพันธบท เรื่องนี้ก็มี ใครสนใจปัญหาวาทกรรม หนังสือเล่มนี้ก็มี เรื่องของประเพณี วรรณกรรมมุขปาฐะ จดหมายที่สอดแทรกในวรรณกรรม มีหมด สำหรับผม น่าเสียดายที่ผมไม่ได้อ่านหนังสืออย่างคนขับรถของศาสตราจารย์ผู้นั้น ถ้าถามว่าหนังสือดีอย่างไร ถ้าผมต้องสอนวิลชาวรรณคดีศึกษา ไม่ว่าจะดูอะไร หนังสือเล่มนี้ก็มี<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา : </span>ก่อนจะเริ่มเรื่อง สำหรับท่านที่เพิ่งเข้ามาฟัง ชื่อเสวนานี้ไม่ได้มาจากเรา แต่ปีที่หนังสือครบรอบสี่ร้อยปี นักเขียนดังหนึ่งร้อยคนโหวตให้ดอนกิโฆเต้ฯ เป็นหนังสือดีที่สุด อ. ปณิธิ เล่าเรื่องของคุณคนขับรถ คราวที่แล้วที่ผีเสื้อจัดงานนิทรรศการที่หอสมุดแห่งชาติ มีคนหนึ่งมางานทุกวัน เป็นยามบริษัทแห่งหนึ่ง เขาอ่านดอนกิโฆเต้<br /><br />ดิฉันสนใจวิธีการเขียนของเซร์บันเตส คิดว่าวิธีการเขียนคือสิ่งที่ทำให้หนังสืออยู่มา และอยู่ต่อไป ดิฉันเคยได้ยินชื่อดอนกิโฆเต้มานมนาม รู้จักจริงๆ เมื่อทำงานกับ อ. สว่างวัน (ผู้แปล) อ่านไปหัวเราะไป เป็นวรรณคดีที่ผูกผู้อ่านไว้ ดึงผู้อ่านไว้ กระทบใจผู้อ่านด้วยการใช้อารมณ์ขัน คนอ่านรู้สึกเป็นมิตรกับผู้ประพันธ์ เซร์บันเตสแทรกการเสียดสีไว้ตลอดเวลา ใช้อารมณ์ขันเป็นเครื่องมือ เราสอนวรรณคดี ดังนั้นไม่ใช่นักอ่านที่บริสุทธิ์ พอได้อ่านดอนกิโฆเต้ก็ อ้าว วอลแตร์ที่เคยสอน ที่เรารู้จักดี อ้าว วิธีเขียนของวอลแตร์ก็เหมือนดอนกิโฆเต้ฯ อารมณ์ขันของวอลแตร์ทำให้คนฝรั่งเศสยอมรับสิ่งที่เขาวิพากษ์วิจารณ์ เป็นหนึ่งในนักคิดที่ทำให้เกิดความคิดปฏิวัติในฝรั่งเศส หลายวิธีที่วอลแตร์ใช้จะเจอในดอนกิโฆเต้ฯ วอลแตร์เป็นนักอ่านหนังสือ แน่ใจว่าวอลแตร์ต้องเคยอ่านดอนกิโฆเต้ เพราะมีแปลเป็นภาษาฝรั่งเศสตั้งแต่ปี ค.ศ. 1614<br /><br />ตั้งแต่แรก ดอนกิโฆเต้ที่ดิฉันชอบคือเทคนิคการเขียน นวนิยายตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน มีหมดแล้วในเล่มนี้ เรื่องความตายของนักเขียน สหบท การแปล การแต่งนวนิยาย ในนี้กล่าวถึงไว้หมด เรื่องตัวตนของผู้เล่าเป็นเรื่องที่มาศึกษากันจริงจังในศตวรรตที่ยี่สิบ ย้อนดูจะเห็นว่านักประพันธ์รู้มาตลอด จะปรากฏตัวตรงไหน จะสร้างความสมจริงอย่างไร<br /><br />ดอนกิโฆเต้อ่านนิยายอัศวินจนเสียสติ มีใครไหมที่อ่านนิยายจนไม่เสียสติ ก็คือบาทหลวง ผู้อ่านหมดทุกเล่มเลยที่อยู่ในห้องสมุดของดอนกิโฆเต้ ทุกเรื่องวิจารณ์ได้หมด ดังนั้นบาทหลวงอ่านหนังสือที่ดอนกิโฆเต้อ่านทั้งหมด แต่ไม่ได้เป็นบ้า สำหรับ อ. ปณิธิ ดอนกิโฆเต้ไม่ใช่ตัวละคร แต่เป็นชีวิตจริงไปแล้ว เป็นบุคคลในตำนาน</p><p><span style="color:#993399;">อ. ปณิธิ :</span> ไอ้นักประวัติศาสตร์คนเล่าเรื่องดอนกิโฆเต้นี้เป็นชาวมุสลิม และมุสลิมกับคริสเตียนไม่ถูกกัน เรื่องนี้มีประเด็นทางศาสนาตลอดเวลา บอกว่าเรื่องนี้ถูกบันทึกด้วยคนมุสลิม นี่คือเทคนิคที่ทำให้งุนงง แม้แต่ตัวนักประวัติศาสตร์เอง บางทีได้รับคำชมว่าละเอียด แต่บางทีบอกว่าไม่รู้บิดเบือนหรือเปล่า<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา :</span> เซร์บันเตสบอกว่า เบเนงเฆลีเป็นคนอิสลาม ย่อมมีอคติกับดอนกิโฆเต้ แต่อ่านแล้วเขาชื่นชมดอนกิโฆเต้ ดังนั้นเชื่อถือได้แน่ เพราะแม้แต่นักประวัติศาสตร์มุสลิมยังไม่บิดเบือน<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. ปณิธิ :</span> หน้า 110 บอกว่า <span style="color:#000099;">"หากในเรื่องมีสิ่งใดไม่เป็นจริง จะเป็นอื่นไปมิได้ นอกจากว่าผู้ประพันธ์เป็นคนอาหรับ แลรู้กันทั่วไปว่า ชนชาตินี้เป็นอริกับชนชาติเรา"</span> มันพูดไม่ได้เลยว่าผู้ประพันธ์ไม่แม่น เพราะเป็นความตั้งใจของผู้ประพันธ์ที่ล้อเรา ดึงเราออกมา แล้วกลับมาตลอดเวลา ไม่แปลกที่ดอนกิโฆเต้จะสับสนความจริงลวง โลกของเราไม่ว่าจะอ่านเอกสารอะไร ก็ไม่อาจเชื่อได้ว่าจริงไม่จริง มีอคติอะไรตลอดเวลา<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา : </span>ด้านแนวคิดทางวรรณกรรม เรื่องนี้อ้างถึงวรรณคดีตั้งแต่ยุคกรีก โรมัน ตัวละครธรรมดารู้จักเวอร์จิล อิเนียด ใครต่อใคร เรื่องนี้มีตอนหนึ่งที่บรรยายว่า เดินทางไปถึงเจอเมืองหนึ่งแสนงาม มีเพชร มีหญิงพาไปอาบน้ำ แต่งตัวด้วยไหมแพรพรรณ เอาอาหารอย่างดีมาให้ ฉากนี้ก็พบในก็องดิด อันที่จริงความฝันของบุรุษที่ว่าจะเดินทางไปเจอเมืองที่มีทรัพย์สมบัติมากมาย เจอสาวงามมาปรนนิบัติ อาจเป็นความคิดของคนทุกสมัย อีกฉากหนึ่ง ดอนกิโฆเต้เล่าให้ซานโช่ฟัง อ่านแล้วนึกถึงยุคพระศรีอาริย์ ทุกอย่างจะงอกจากพื้นดิน จะอุดมสมบูรณ์ด้วยปลา จะมีผู้หญิงเต็มไปหมด ไม่สวมเสื้อผ้า ถ้าเราอ่านพระมาลัยคำหลวง บอกว่าถ้าทำอย่างนี้จะไปขึ้นสวรรค์ชั้นนี้ มีนางฟ้าดูแลกี่คน อย่างนี้ทำให้เกิดความเป็นสากลในหนังสือ คนชาติไหนก็รับได้ เป็นประสบการณ์สากล ในก็องดิดใช้คำคุณศัพท์บรรยายตัวละครตั้งแต่ A-Z ดอนกิโฆเต้ก็มีเหมือนกัน วอลแตร์พูดถึงสิ่งตรงกันข้ามที่เป็นข้อเสียดสี หรือ ปฏิวลี นี่เป็นวิธีเขียนของวอลแตร์ซึ่งเราเจอในดอนกิโฆเต้ฯ<br /><br />อีกประเด็นคือเรื่องของมิติเวลาและมิติสถานที่ ตอนแรกดอนกิโฆเต้ผจญภัยสองวันหนึ่งคืน คราวที่สองนับได้ประมาณสิบเอ็ดวัน ไม่ได้ไปไกล แต่ระหว่างทางเจอคนโน้นคนนี้ เล่าเรื่องตัวเอง เรื่องแทรกเหล่านี้พาเราออกไปอีกสถานที่หนึ่ง มิติเวลาหนึ่ง เรื่องแทรกทุกเรื่องพาเราออกไปจากทุ่งม็อนเตียล อ. ปณิธิ ใช้คำว่า 'ขอบฟ้าออกไปไกลขึ้น' เรื่องแทรกส่วนใหญ่ว่าด้วยเรื่องความรัก ความรักหลายๆ แบบ ทำไมต้องเป็นเรื่องรัก เพราะเรื่องรักคือเรื่องที่ดอนกิโฆเต้ไม่มีโอกาสจะมี เขาอายุห้าสิบปี ถือว่าชราแล้ว มีฟันสี่ซี่ ผอมโกรก ด้วยรูปลักษณ์รวมทั้งคำพูดคำจาที่ไม่มีใครเข้าใจ เจอสาวที่ไหนก็คงไม่มีใครอยากใกล้ชิดเขา และยังมีนางในดวงใจอีก ไปบอกนางมารีตอร์เนสว่าต้องซื่อสัตย์ต่อนางในดวงใจ แต่ละเรื่องรักมหัศจรรย์ทั้งนั้น<br /><br />ภาคสองนั้นเรื่องแทรกเหลือนิดเดียว ดอนกิโฆเต้ไม่ต้องป่าวประกาศแล้วว่าคือใคร เพราะทุกคนรู้จักเขา เนื่องจากมีผู้ตีพิมพ์และเขียนเรื่องเขา<br /><br />ในอารัมภบท ถ้าปัจจุบันอ่านวรรณกรรม ต้องถามว่าผู้เล่าเรื่องคือใคร รู้แจ้งหรือเปล่า รู้ความคิดจิตใจของตัวละคร หรือเพียงแต่เล่าแล้วให้ผู้อ่านตัดสิน ดอนกิโฆเต้บอกว่าพ่อมดคือผู้เขียนประวัติอัศวิน พ่อมดต้องเขียนเรื่องเขา และต้องรู้ซึ้งถึงจิตใจเขาด้วย เซร์บันเตสบอกว่าเขาเป็นพ่อมด เข้าถึงตัวละครได้ เขาวิจารณ์การเขียนอารัมภบทในสมัยนั้นอย่างคมคาย เซร์บันเตสเขียนสดุดีเรื่องของเขา โดยอ้างตัวละครในนวนิยายอัศวินอื่นๆ ให้มาเขียนชื่นชมดอนกิโฆเต้ เช่น อามาดีสแห่งเกาล่า แม่มดอูร์กันด้า แม่หญิงโอเรียน่าบอกว่าอยากเป็นดุลสิเนอามากกว่า มีม้าบาเบียก้า อัศวินสำรองชื่อกันดาลิน ยังมาชื่นชมและอิจฉาซานโช่ เซร์บันเตสเล่นกับขนบ เหมือนบ้านเราที่ต้องมีบทนำ กวีต้องถ่อมตัวว่าแต่งไม่เก่ง เซร์บันเตสบอกว่าไม่อ้างใครแล้ว จะแต่งเองโดยอ้างคนในนิยาย ผู้อ่านอ่านแล้วเชื่อว่าเรื่องนี้จริง ดอนกิโฆเต้จึงมีชีวิตจริงมาสี่ร้อยปี<br /><br /><span style="color:#993399;">มกุฏ :</span> ขณะผมตรวจแก้ต้นฉบับ สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นและเคยเสนอให้ อ. สว่างวัน ทำวิทยานิพนธ์ แต่อาจารย์ที่ปรึกษาไม่ยอมให้หัวข้อนี้<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา :</span> หรืออาจารย์ที่ปรึกษาไม่แน่ใจว่า อ. สว่างวัน จะทำได้<br /><br /><span style="color:#993399;">มกุฏ :</span> คือเรื่องเซ็กส์ในดอนกิโฆเต้ อ. ปณิธิ เห็นว่ามีเซ็กส์ปรากฏเต็มไปหมด อ. ปณิธิ อ่านรอบเดียว ผมอ่านสิบสองรอบ บางบทอ่านร้อยเที่ยว นักเขียนคนหนึ่งสามารถเอาเซ็กส์ทุกแขนง ทุกประเภท ทุกชนิด เอาไปอยู่ในหนังสือได้ทั้งหมด ตอนทำต้นฉบับที่ตรวจแก้ ถึงตอนหนึ่ง ห้องทำงานเงียบๆ มีเสียงตะโกนว่า 'เสร็จมันแล้ว' นึกออกไหมว่าตอนไหน มีตอนหนึ่งผู้หญิงเสมือนหนึ่งถูกข่มขืน แต่ไม่บอกนะครับว่าถูกข่มขืน บอกแต่เสื้อผ้าฉีกขาด ผู้อ่านรู้ได้ว่าเสร็จแล้ว คนเขียนเรื่องโรแมนซ์ในสมัยหลังสู้เซร์บันเตสไม่ได้สักคน แกจับเอาพฤติกรรมต่างๆ แม้กระทั่งผู้ชายถ้ำมองก็ยังมี ให้เพื่อนแอบดู หรือตัวเองแอบดูเพื่อน ทำได้อัศจรรย์มาก<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. ปณิธิ :</span> ไม่ใช่ผมหมกมุ่นนะครับ พยายามชี้ว่าความสมัยใหม่ไม่น่าบังเอิญ เรื่องนี้สนองมุมมองของนักวิจารณ์สม้ยใหม่ได้ หนังสือเปิดมา ดอนกิโฆเต้อายุห้าสิบกว่า เป็นโสด ไอ้ที่อยู่มาเป็นโสดห้าสิบกว่าคืออะไร จำเป็นหรือว่าชอบ ดอนกิโฆเต้ได้ตั้งข้อผูกมัดของตัวเองว่าเมื่ออยู่ใกล้ผู้หญิงจะไม่ทำอะไร ถามว่าตั้งไว้ทำไม ตั้งนางดุลสิเนอาเป็นนางในดวงใจ แอบมองมานานแล้ว พอเล่าไปเล่ามา ก็โกรธซานโช่ บอกแล้วไงว่าเห็นผู้หญิงคนนี้สี่หน พอภาคสองบอกว่า บอกแล้วไงว่าไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนี้เลย ไม่มีวันที่ดอนกิโฆเต้จะเข้าใกล้ผู้หญิงเลย มีผู้หญิงคนเดียวที่เข้าใกล้คือเจ้าหญิงมิโกมิโกน่า ทางวรรณกรรม ผู้หญิงคนนี้มีลักษณะสวย เป็นเจ้า ปรากฏต่อสายตาดอนกิโฆเต้ในฐานะผู้หญิง แต่ผู้หญิงคนนี้คือโดโรเตอา ถ้าถามว่าตั้งแต่ต้น รู้จักเธอมา โดโรเตอามีลักษณะอะไรบ้าง คือเคยปลอมตัวเป็นชาย ลักษณะประจำตัวคือเคยเป็นผู้ชายมาก่อน คนนี้ละครับที่ดอนกิโฆเต้เข้าไปใกล้ด้วย<br /><br />เพื่อนสองคนรักกันมาก คนหนึ่งแต่งงาน ไปชวนเพื่อนมาอยู่กับเมียตัว อ้างว่าจะดูว่าผู้หญิงซื่อสัตย์หรือเปล่า นี่ถ้าไปอยู่กับจิตแพทย์ที่ไหน เขาก็ต้องบอกว่า มีความปรารถนาลับๆ ต่อผู้ชายด้วยกัน อยากแอบดู ในเรื่อง พ่อโกริโยต์ มีอะไรลับๆ เต็มไปหมด อย่าให้ผมเล่าเลย มันจริงๆ<br /><br />แม้แต่วรรณกรรมสำหรับเด็ก เช่น เจ้าชายน้อยมองดูรูปลังกระดาษ เห็นแกะในลังกระดาษ เห็นหมวกเป็นงูกลืนช้าง กับคนที่เห็นสีลมเป็นยักษ์ มันต่างกันตรงไหน มุมมองที่มองโลกห้าสิบปี มันหายไปไหนในวันเดียว ถึงครองชีวิตอย่างนั้นได้ กิฆาน่าตายแล้วเกิดใหม่ เป็นคนใหม่ มองโลกด้วยสายตาบริสุทธิ์ ไม่เคลือบแคลงอะไรเลย<br /><br />พฤติกรรมของดอนกิโฆเต้ไม่ต่างจากพฤติกรรมเด็ก เงินไม่ต้องใช้ ไม่เคยขอโทษ ไปฟันเขา เข้าที่ไหนป่วนที่นั่น ทะลายที่นั่น อยากทำอะไรก็ทำ หนังสือที่ดอนกิโฆเต้อ่าน รูปลักษณ์ก็เหมือนเทพนิยาย ดอนกิโฆเต้เหมือนเด็กที่อ่านเทพนิยาย ดูซูเปอร์แมน สไปเดอร์แมน วันหนึ่งเด็กคนนั้นเชื่อว่าตัวเองกระโดดตึกได้ ปีนกำแพงได้ ก็เป็นหน้าที่ของผู้ศึกษาวรรณกรรมเยาวชนจะวิเคราะห์ ทำไมเจ้าชายน้อย นักฝันผู้เห็นหมวกเป็นงูเหลือมกลืนช้าง เห็นแกะอยู่ในรูปที่วาดใส่กล่อง คำตอบเดียวกับสีลมกลายเป็นยักษ์ หญิงขี้ริ้วเป็นดุลสิเนอา ม้ากะหร่องเป็นโรสินันเต้ สถานที่ต่างๆ กลายเป็นปราสาท<br /><br />ถ้าลุ่มหลงเจ้าชายน้อยด้วยสายตานี้ ดอนกิโฆเต้คือเด็กที่น่ารักคนหนึ่งเหมือนกัน ไม่ว่าจะอยากอ่านหนังสือแบบไหน ปรับจูนคลื่นนิดเดียว จะพบได้หมดเลย น่าอัศจรรย์จริงๆ นะครับ<br /><br />วันดีคืนดี ถ้าความเป็นเด็กเกิดในตัวเขา นักบินรำลึกว่าเด็กๆ เคยเป็นเจ้าชายน้อย ดอนกิโฆเต้รักษามุมบริสุทธิ์ โลกต้องเป็นแบบนี้ ต้องมีคนดีแบบนี้ กว่าดอนกิโฆเต้จะยอมรับความจริงคือต้องเพ้อแล้ว<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา :</span> อีกประเด็นเรื่องศิลปะการประพันธ์ คือการเผาหนังสือ เรื่องราวของอัศวินติรันเต้ผู้พิสุทธิ์ บาทหลวงบอกว่า <span style="color:#000099;">"วิธีการประพันธ์ของหนังสือนี้นับว่าเลิศสุดในโลก ด้วยว่าอัศวินในเรื่องไม่เพียงกินอาหาร แลนอนหลับพักผ่อน อีกทั้งสิ้นชีพด้วยสงบบนเตียงตั่ง แลก่อนตายยังทำพินัยกรรมไว้ด้วย จักหานิยายอัศวินเล่มใดเอ่ยถึงภาระอันต้องทำประจำวันดังที่ข้ากล่าวเป็นไม่มี"</span><br /><br />เรื่องของอัศวินคือออกไปโรมรัน ไปต่อสู้ ไม่เคยมีฉากอัศวินขับถ่ายหรือหิว เซร์บันเตสเขียนอัศวินในชีวิตประจำวัน มีฉากทำกิจส่วนตัวสิบกว่าแห่ง ฉากที่มหัศจรรย์ที่สุดคือซานโช่แอบเอาเชือกไปมัดขาโรสินันเต้ ซานโช่อยากขับถ่ายแต่ไปไหนไม่ได้ ก็ปลดกางเกงลงนั่ง ขับถ่าย ดอนกิโฆเต้ได้กลิ่น มีวรรณคดีไหนที่บรรยายฉากนี้ อ่านแล้วขำ หรือหน้า 537 ดอนกิโฆเต้แคะฟัน เคยเห็นไหมคะ พระเอกที่ไหนแคะฟัน ทำไมเซร์บันเตสเสนอตัวละครแบบนี้<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. ปณิธิ :</span> ถ้าเราเสนอภาพอัศวิน ไม่มีอะไรในเรื่องที่มีด้านเดียว เมื่อเสนอแล้วจะต้องมีสิ่งตรงกันข้ามตลอดเวลา เมื่อเป็นอัศวินแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องอธิบายยืดยาว ข้าเป็นคนองอาจ สุภาพ ใจโอบอ้อม นี่คืออัศวินในอุดมคติ แต่เซร์บันเตสจะบอกว่าไม่มีอัศวินในอุดมคติ อัศวินก็ต้องแคะฟันเหมือนกัน ดอนกิโฆเต้คนเดียวอยู่ไม่ได้ ออกไปสองวันก็กลับมา ต้องมีซานโช่ด้วย อ่านเล่มนี้ บางครั้งเราก็เป็นดอนกิโฆเต้ บางครั้งเราก็เป็นซานโช่ ต้องมีทั้งคู่ ในชีวิตทุกด้าน ต้องมีทั้งความจริงและความลวง มีคุณมกุฏก็ต้องมี Not มกุฏ ผีเสื้อจึงจะอยู่ได้<br /><br /><span style="color:#993399;">มกุฏ :</span> แถมอีกนิด ผมไม่รู้สึกว่าจะมีฉากวรรณกรรมไหน ที่มีตัวเอกอึสองครั้งสองครา<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. ปณิธิ :</span> วรรณกรรมยุคกลางมีเรื่องอย่างนี้เป็นปกติ เรื่องมนุษย์ การขับถ่าย วรรณกรรมให้ชาวบ้านอ่านที่กล่าวถึงของสกปรกต่างๆ ในร่างกาย อาเจียน เศษอะไรต่างๆ มีมากในวรรณกรรมชาวบ้าน ถือว่ามนุษย์ขาดไม่ได้ที่จะเป็นอย่างนี้ เราเกิดจากดินก็ต้องกลับไปที่ดิน โดยเฉพาะละครตลกยุคกลางถือเป็นเรื่องปกติ แต่วรรณกรรมสูงส่งเรื่องไหนจะมีแบบนี้ ก็ไม่มี<br /><br /><span style="color:#993399;">มกุฏ :</span> สรุปว่า ถ้าอยากอ่านหนังสือสักเล่มที่ได้ทุกรส ก็ลองอ่านดู อย่างหลังปกว่าไว้<br /></p><blockquote><span style="color:#000099;">ในชั่วชีวิตหนึ่ง หากแม้นสวรรค์ทรงอนุญาตให้อ่านหนังสือได้เพียงเล่มเดียว<br />จงเลือกเล่มนี้เถิด ชีวิตจักไม่ตายเปล่าแน่แท้<br /></span></blockquote><p><br />เรามาที่นี่เพื่อจะบอกว่านี่เป็นหนังสือดี<br /><br /> </p>Don de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-3730209939703745791.post-7964681420773810102007-07-02T23:29:00.000+07:002007-07-02T23:29:37.558+07:00เซร์บันเตส นักฝันหลากวัฒนธรรม<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhArbeutd83wBoey2pqfubN8UeL9PCBmfhYupGpfYSjXJgytgMP8Cd13oQjpUeGu2WP8ZT0P0DlM3sGFxQyzEfPCGj6ZCMPLgcQltM73lOTLwcW6ddR5IsY_iGAK8Y12mh4Nrtjs-KasI4/s1600-h/donTu001.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5082632850857846338" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhArbeutd83wBoey2pqfubN8UeL9PCBmfhYupGpfYSjXJgytgMP8Cd13oQjpUeGu2WP8ZT0P0DlM3sGFxQyzEfPCGj6ZCMPLgcQltM73lOTLwcW6ddR5IsY_iGAK8Y12mh4Nrtjs-KasI4/s320/donTu001.jpg" border="0" /></a><br /><br /><center>เหตุใดดอนกิโฆเต้ฯ จึงเขียนขึ้นครั้งแรกด้วยภาษาอาหรับ ?<br /><br />หรือพูดอีกอย่างคือ ทำไมเซร์บันเตสจึงเขียนหนังสือภาษาสเปน<br /><br />โดยอ้างว่าแปลจากภาษาอาหรับ</center><br /><br />ดอนกิโฆเต้ฯ ไม่เพียงเป็นวรรณกรรมเลื่องชื่อ แต่สะท้อนยุคสมัยที่วัฒนธรรมอิสลามในสเปนถูกกำจัด ลองดูจากบทล้อเรื่องที่มาของเนื้อเรื่องในหนังสือ เซร์บันเตสบอกว่าต้นฉบับวีรกรรมดอนกิโฆเต้ค้างไว้ที่การต่อสู้กับบุรุษชาวบาสก์ และตั้งแต่นั้น เซร์บันเตสเพียรเสาะหาตอนต่ออย่างขมักเขม้น จนวันหนึ่งในตลาดเมืองโตเลโด้ มีเด็กหนุ่มเอาปึกกระดาษเก่าเขียนด้วยภาษาอาหรับมาขาย เขาจึงเดินหาชาวมัวร์ที่พูดภาษาสเปนได้ เพื่อให้แปลปึกกระดาษเป็นภาษาสเปน “การหาฅนแปลดังว่าสักฅนหนึ่งมิใช่เรื่องยากเย็นแต่ประการใด” เซร์บันเตสถึงกับบอกว่า ขนาดให้หาฅนแปลจากภาษาฮีบรูก็ยังไม่ใช่เรื่องยากเย็น<br /><br />ในเรื่อง ชายชาวมัวร์ผู้แปลบอกเซร์บันเตสว่า กระดาษปึกนี้เป็นเรื่องประวัติของดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า ประพันธ์โดย ซีเด้ อาเมเต้ เบเนงเฆลี นักประวัติศาสตร์ชาวอาหรับ เซร์บันเตสจึงพาชายชาวมัวร์นี้ไปยังระเบียงรอบมหาวิหาร และว่าจ้างให้แปลกระดาษปึกนั้น<br /><br />เรารู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องยั่วล้อให้ขำขัน ตั้งแต่ชื่อนักประวัติศาสตร์ ซีเด้ คือคำนำหน้าเพื่อการยกย่อง อาเมเต้ คือชื่อชาวอาหรับ เบเนงเฆลี เป็นคำอาหรับซึ่งเซร์บันเตสแผลงเสียงจาก เบเนงเฆน่า ที่แปลว่ามะเขือ นายมะเขือนักประวัติศาสตร์ผู้นี้เป็นเรื่องยั่วล้อไม่ต่างจากเรื่องอื่นๆ ในนิยาย ดั่งการผจญภัยกังหันลมของดอนกิโฆเต้ หรือซานโช่ได้ครอบครองเกาะที่ไม่มีน้ำล้อมรอบ เบเนงเฆลีวางท่าจริงจังเหมือนอย่างดอนกิโฆเต้ แต่แสนแปลกประหลาด และเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในการเข้าใจนิยายเล่มนี้<br /><br />ตอนที่เซร์บันเตสเขียนเรื่องนี้ มุขตลกเหล่านี้ไม่อาจเป็นจริงได้เลย เราไม่อาจพบชาวมัวร์ที่พูดภาษาอาหรับ และชาวยิวที่พูดภาษาฮีบรู ในตลาดเมืองโตเลโด้ ทั้งไม่มีชาวมัวร์ผู้ใดจะแปลหนังสือได้ที่ระเบียงรอบมหาวิหาร<br /><br />ชาวยิวถูกขับออกจากสเปนตั้งแต่ ค.ศ. 1492 เหลือแต่ผู้ที่เปลี่ยนศาสนาแล้วเท่านั้น หนังสือภาษาอาหรับถูกเผาด้วยความลิงโลดไม่น้อยกว่าที่บาทหลวงเผาหนังสือของดอนกิโฆเต้ แม้ในตอนนั้นชาวมุสลิมยังไม่ถูกขับจากสเปน (เกิดขึ้นหลังจากดอนกิโฆเต้ฯ ภาคแรกตีพิมพ์เพียงไม่กี่ปี) แต่ชาวมุสลิมต้องเปลี่ยนศาสนาเช่นกัน สเปนเต็มไปด้วยคริสตังใหม่ ทั้งที่เปลี่ยนความเชื่อจากศาสนาอิสลามและยูดา บ้างยังแอบถือปฏิบัติตามข้อกำหนดในศาสนาเดิมของตน เหตุที่เนื้อหมูเป็นอาหารยอดนิยมในสเปน เนื่องจากการกินเนื้อหมูคือการแสดงต่อสาธารณะว่า ผู้บริโภคมิได้ดำเนินตามกฏเกณฑ์ของอิสลามหรือยูดา ตรงข้ามกับมะเขือ ซึ่งเกี่ยวข้องกับอาหารของชาวมุสลิมและยิวมานาน ตั้งแต่สมัยโตเลโด้เป็นชุมชนชาวยิว<br /><br />บทตอนเหล่านี้ของเซร์บันเตสจึงแสดงความเจ้าเล่ห์ วัฒนธรรมมุสลิมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสเปนนาน 8 ศตวรรษถูกขับไล่ ชาวมุสลิมถูกกำจัดจากสเปนในช่วง ค.ศ. 1609-1614 เกิดการนองเลือดและเรื่องราวโศกนาฏกรรมจำนวนมาก ดอนกิโฆเต้ไม่อาจท่องไปทั่วแคว้นลามันช่าได้โดยไม่ประสบเรื่องราวอาดูรเหล่านี้ ชาวมัวร์และชาวมัวร์ที่เปลี่ยนศาสนามาถือคริสตัง ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในฉากของดอนกิโฆเต้<br /><br />เซร์บันเตสบรรยายตัวละคร มารีอา มากังเฆ โสไรยดา ว่า “นางเป็นชาวมัวร์แต่กายแลเครื่องนุ่งห่ม ทว่า จิตใจแลวิญญาณนางเป็นชาวคริสต์โดยแท้ นางมุ่งมาดจะเป็นชาวคริสต์แน่วแน่” ชาวมัวร์ในสเปนยังถูกจัดจำพวกด้วยว่าชาวถิ่นไหนเรียกว่าอย่างไร 'ตาการีโน' คือชื่อเรียกชาวมัวร์แห่งอาราก็อน ส่วนพวกอาศัยในเมืองกรานาด้า เรียกว่า 'มูเดฆาร์' ซึ่งเรียกกันในอาณาจักรเฟซ ว่า เอลเช่<br /><br />ในภาคสองของนิยาย พิมพ์ ค.ศ. 1615 หลังจากมุสลิมถูกขับไปแล้ว มีตอนหนึ่ง ซานโช่เห็นเพื่อนบ้านชาวมัวร์แต่งกายปลอมตัว จึงถามว่า “ผีห่าตนใดจะจำเจ้าได้ ริโกเต้ ในชุดตัวตลกที่เจ้าสวมนี้” และ “บอกข้าสิว่าใครทำให้เจ้าแต่งเป็นฅนฝรั่งเศสเช่นนี้” ริโกเต้กล่าวถึงการขับไล่มุสลิมจากสเปนและความทุกข์เทวษนี้ เขาว่า “ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใด เราจักร่ำไห้ต่อสเปน ด้วยว่าเราเกิดที่นี้ นี่คือแผ่นดินแม่ของเรา”<br /><br />เซร์บันเตสมีประสบการณ์เช่นนี้ ใน ค.ศ. 1571 เขาร่วมรบในฐานะคริสตังต่อสู้มุสลิมชาวเติร์กในสมรภูมิเลปันโต้ ได้ชัยชนะ เขาบาดเจ็บใช้แขนซ้ายไม่ได้จนตลอดชีวิต ต่อมาไม่นานถูกจับเป็นทาสจากกองเรือสลัดมุสลิม ประสบการณ์ช่วงนี้กลายเป็นเรื่องชาวมัวร์กับคริสตัง การลักพาตัว การเปลี่ยนศาสนา และการทรยศในเรื่อง เซร์บันเตสไม่ได้เขียนถึงเรื่องเหล่านี้ในฐานะนักรบ แต่เขียนจากมุมมองนักปรัชญา เรารู้สึกได้ถึงความเห็นอกเห็นใจต่อชาวมัวร์ของเขา ผู้รู้ยุคหลังเสนอแนวคิดว่าเซร์บันเตสอาจมาจากครอบครัวยิวที่เปลี่ยนศาสนา จึงอธิบายได้ว่าเหตุใดเขาจึงถูกปฏิเสธการรับเข้าทำงานครั้งแล้วครั้งเล่า แม้จะเป็นวีรบุรุษสงคราม ในอีกแง่มุมหนึ่ง อาจเป็นได้ว่า ตำแหน่งที่เขาขอไปนั้นเป็นตำแหน่งราชการระดับสูง จึงถูกปฏิเสธ ชีวิตของเซร์บันเตสก็เหมือนกับผลงานของเขา มักตีความได้หลายด้าน และยังดึงดูดให้นักวิชาการศึกษาค้นคว้าต่อไป<br /><br />ผู้รู้อื่นๆ เสนอว่านิยายเรื่องนี้เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ทางศาสนายิว (Judaism) เราไม่อาจวางใจได้กระทั่งตัวละครเช่นซานโช่ ในนิยายเรื่องนี้ ซานโช่สวมบทบาทคริสตังเก่า ผู้ประกาศว่า เนื่องจากเขาเชื่อมั่นตามความเชื่อของโรมันคาทอลิก และเขาเป็น “ศัตรูของชาวยิว” นักประวัติศาสตร์จึงควรปฏิบัติต่อเขาอย่างดี<br /><br /><br /><blockquote><span style="color:#000099;">อันตัวข้าผู้ถือกำเนิดมาจากตระกูลคริสตังเก่า<br />ข้าว่าข้ามีคุณสมบัติเท่านี้ก็เพียงพอจะเป็นท่านเคานต์<br />-- ซานโช่ ปันซ่า (หน้า 222)</span><br /><br /></blockquote><br />แต่ดอนกิโฆเต้ปฏิเสธความคิดเรื่องสายเลือดบริสุทธิ์ (จากอธิบายคำ 235 : เรื่องสายเลือดบริสุทธิ์มิมีผู้ถือศาสนาอื่นมาปนเป็นเรื่องสำคัญในสมัยนั้น โดยเฉพาะในการเป็นขุนนางหรือสมัครเป็นทหาร) ต้นฉบับของเบเนงเฆลีเป็นเพียงส่วนเสี้ยวของเรื่องอันจับต้องไม่ได้ของโลกที่สูญหาย ดอนกิโฆเต้ถือกำเนิดจากความคิดเปี่ยมด้วยการสิ้นสูญ เนื้อหาที่ถูกตำหนิ ไม่ว่าจะเป็นภาษาอาหรับหรือนิยายอัศวิน หลักการอันไม่คลอนแคลนของดอนกิโฆเต้ไม่อาจสู้รบกับโลกแห่งการหลอกลวง ต้องมนตรา และภาพฝันภาพหลอนต่างๆ ได้<br /><br />สเปนของดอนกิโฆเต้คือโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อำนาจของหนังสือมาจากการแสวงหาอันดื้อดึงของดอนกิโฆเต้ เขาไม่ยอมให้เราเชื่อว่า จะมีสิ่งที่เป็นไปไม่ได้<br /><br /><br /><span style="color:#663366;">* แปลและเรียบเรียงจาก ‘Regarding Cervantes, Multicultural Dreamer’ โดย Edward Rothstein นิวยอร์กไทมส์ 13 มิถุนายน 2005 ตีพิมพ์ครั้งแรกในสูจิบัตรงานนิทรรศการหนังสือ ดอนกิโฆเต้ที่ธรรมศาสตร์</span>Don de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-3730209939703745791.post-70017254199152678682007-07-02T23:02:00.000+07:002007-07-02T23:02:05.224+07:00ของที่ระลึก ดอนกิโฆเต้ที่ธรรมศาสตร์<div align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjBksbSRGlJzBYR_Rb5S2Ju8e9Yjr3TKflrOf2KTooOkIcJi_IMv7GUMr-f-dksIyFCOs1n5WKmT-ftM_rK9UdeeQBHvnbM7eRB5VcaZBskqDEhepjSlqqj6Lx0PHHDA35RgMrAc5I3nQk/s1600-h/redt.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5082552126947517970" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjBksbSRGlJzBYR_Rb5S2Ju8e9Yjr3TKflrOf2KTooOkIcJi_IMv7GUMr-f-dksIyFCOs1n5WKmT-ftM_rK9UdeeQBHvnbM7eRB5VcaZBskqDEhepjSlqqj6Lx0PHHDA35RgMrAc5I3nQk/s320/redt.jpg" border="0" /></a> เสื้อยืดพื้นสีแดง ร้อนแรง</div><br /><div align="center"></div><br /><div align="center"></div><br /><div></div><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi-GFbvuBgtnqX4x51pJxMbv-npZ1Ukp9gXixk_mkqlxdy1srICIDPQW1dnEjGBsfsFg4SXUD9ptGG_HMwoNrL1hR7Y4x19fsDWR8nIokVTnXOAK_6emM_dLeSaFbAb6N9gpJY8YVfwrRc/s1600-h/paperbackTu.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5082552607983855138" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi-GFbvuBgtnqX4x51pJxMbv-npZ1Ukp9gXixk_mkqlxdy1srICIDPQW1dnEjGBsfsFg4SXUD9ptGG_HMwoNrL1hR7Y4x19fsDWR8nIokVTnXOAK_6emM_dLeSaFbAb6N9gpJY8YVfwrRc/s320/paperbackTu.jpg" border="0" /></a><br /><br /><p>หนังสือปกอ่อนฉบับธรรมศาสตร์ ราคาเล่มละ 499 บาท รายได้มอบให้ธรรมศาสตร์<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjjhoJfMxDNGUPcOBemkSuhQyB8rPT54xXt4Rx3ZHZI64YC6ZEiS1ZHkye8zd3yfE4uvViYG7Ywry5cZLuwrtNH-rTtjNVvqLu-DpXI0Dr5B_fLQIBjZw0E2_Ja2ja9kjd3DdBL2mE_sVs/s1600-h/donTu009.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjjhoJfMxDNGUPcOBemkSuhQyB8rPT54xXt4Rx3ZHZI64YC6ZEiS1ZHkye8zd3yfE4uvViYG7Ywry5cZLuwrtNH-rTtjNVvqLu-DpXI0Dr5B_fLQIBjZw0E2_Ja2ja9kjd3DdBL2mE_sVs/s320/donTu009.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5082629852970673714" /></a><br /><br /><p>หนังสือดอนกิโฆเต้ ฉบับหอสมุดธรรมศาสตร์Don de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-3730209939703745791.post-19355378022581281112007-06-28T22:41:00.000+07:002007-06-28T22:41:57.568+07:00วันเปิดงานนิทรรศการ ดอนกิโฆเต้ฯ ที่ธรรมศาสตร์<p><span style="color:#993399;">รายงานโดยเจ้าหญิงมิโกมิโกน่า</span></p><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgPPNUDHdjuLI1RTlaTb99l-7Ii_Yw3aNF24LoDPfiAdEZiU8etN8o08GllHcZrdKQ9_eoMuVUWR2kK36va_tIV8pgCzd-zCHwu6G4LyoqJS9bUJioJIgEHw0ayC_A9LibrEWBrXv1PbRo/s1600-h/donTu3.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5081098417956775330" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgPPNUDHdjuLI1RTlaTb99l-7Ii_Yw3aNF24LoDPfiAdEZiU8etN8o08GllHcZrdKQ9_eoMuVUWR2kK36va_tIV8pgCzd-zCHwu6G4LyoqJS9bUJioJIgEHw0ayC_A9LibrEWBrXv1PbRo/s320/donTu3.jpg" border="0" /></a><br /><br /><p>ในวันเปิดนิทรรศการดอนกิโฆเต้ฯ ที่หอสมุดปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ (พุธที่ 27 มิถุนายน 2550) ผู้เข้าหอสมุดจะได้เห็นหุ่นดอนกิโฆเต้งดงามกำลังนั่งอ่านหนังสือ และตู้นิทรรศการต่างๆ จัดแต่งหน้าตาสะสวย ทำให้ผู้แวะผ่านมาสนใจหยุดชม งานนี้มีสูจิบัตรวางให้หยิบในราคาตามศรัทธา (10, 20, 50, 100 บาท) ซึ่งรายได้ทั้งหมดมอบให้หอสมุดธรรมศาสตร์ ภายในสูจิบัตรมีบทความต่างๆ เกี่ยวกับหนังสือดอนกิโฆเต้ รวมทั้งเรื่องย่อ และแนะนำตัวละคร<br /><br /></p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgJy0Fjt7dKwIbBZ770_1wAaPc3hzT9YIE8EquycUgH3yJeTU1UIQCWIcX0hWTZqOOyYkHzoiI6F7YYKV41yCiQLIFCeTSiqcFqk3fno7c0VyC9qhPNt94mVai4PNWwWns7OC8Yaa3aTvw/s1600-h/donTuBk5.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5081098688539714994" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgJy0Fjt7dKwIbBZ770_1wAaPc3hzT9YIE8EquycUgH3yJeTU1UIQCWIcX0hWTZqOOyYkHzoiI6F7YYKV41yCiQLIFCeTSiqcFqk3fno7c0VyC9qhPNt94mVai4PNWwWns7OC8Yaa3aTvw/s320/donTuBk5.jpg" border="0" /> <p align="left"></a><center><span style="color:#000099;">ปกหนังสือฉบับขายในงาน, ปกหนังสือที่ผีเสื้อมอบให้หอสมุด มธ. และเสื้อยืดที่ระลึก</span></center><br /><br />มีหนังสือดอนกิโฆเต้ฯ หน้าปกพิเศษฉบับธรรมศาสตร์ สีเหลือง-แดง มีรูปดอนกิโฆเต้และซานโช่ ปันซ่า ชักม้าไปเยือนแม่โดม จำหน่ายเฉพาะงานนี้เท่านั้น ปกอ่อนราคาเล่มละ 499 บาท (ราคาปกอ่อนปกติคือ 494 บาท) ปกแข็งราคาเล่มละ 599 บาท (ราคาปกแข็งเล่มเล็กคือ 696 บาท) และเสื้อยืดที่ระลึกงานนิทรรศการครั้งนี้ มี 2 สีพื้นให้เลือก คือสีเหลืองและสีแดง ราคาตัวละ 200 บาท (ขนาด S, L, XL) รายได้มอบให้หอสมุดธรรมศาสตร์เช่นกัน ข้าพเจ้าทราบว่าหนังสือและเสื้อยืดเป็นที่นิยมไม่น้อย แถมใครๆ ยังสนใจสูจิบัตรอีกด้วย <br /><br />สำนักพิมพ์ผีเสื้อจัดพิมพ์หนังสือดอนกิโฆเต้ฯ ปกแข็ง ฉบับปกพิเศษของธรรมศาสตร์ ระบุว่าหนังสือนี้เป็นสมบัติของมหาวิทยาลัย จำนวนทั้งสิ้น 100 เล่ม เพื่อมอบให้ห้องสมุดสาขาต่างๆ ของมหาวิทยาลัย<br /><br />ในการกล่าวเปิดงาน คุณมกุฏ อรฤดี กล่าวว่าหลายสิบปีมาแล้ว คุณชวน หลีกภัย เคยให้ยืมเงิน บัดนี้ก็ยังไม่คืนและตั้งใจจะไม่คืน เนื่องจากเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งที่เคยยืมเงินนายกรัฐมนตรีหลายสมัย<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhAjBTNivYa6W_tmopQ5FEL4PaNH__CtcxoMAEu-63C47fpWoaLWU1IubbM64FLSpsc3RDvMaoPXCLYQrtLyp8AUz-5wqBcx6iIKILgg2-uYDx6pjJQ2OhKqf1ds9t6_nWjHm-Yjl7KJ0E/s1600-h/donTu11.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhAjBTNivYa6W_tmopQ5FEL4PaNH__CtcxoMAEu-63C47fpWoaLWU1IubbM64FLSpsc3RDvMaoPXCLYQrtLyp8AUz-5wqBcx6iIKILgg2-uYDx6pjJQ2OhKqf1ds9t6_nWjHm-Yjl7KJ0E/s320/donTu11.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5081099891130557890" /></a><center><span style="color:#000099;">(จากซ้าย) ชวน หลีกภัย, มกุฏ อรฤดี, <br />ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดี มธ., ศรีจันทร์ จันทร์ชีวะ ผอ.สำนักหอสมุด</span></center><br /><br />ดังนั้นเมื่อคุณชวนกล่าวเปิดงาน จึงเรียกคุณมกุฏว่า 'ลูกหนี้' และกล่าวว่าป่านนี้ก็ขาดอายุความไปแล้ว ถึงจะไม่ขาดอายุความ ก็ไม่สามารถฟ้องร้องอะไรได้ เพราะไม่มีการทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร และกล่าวว่าสมัยเป็นนักศึกษานั้น ตอนนี้ต้องยุ่ง เตรียมเล่นงิ้ว เล่นบทโขน บทลิเก สมัยโน้นเราไม่มีโอกาสแสดงออกทางอื่น ปีหนึ่งมีครั้งเดียวคือวันที่ 27 มิถุนายน (วันสถาปนามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) สมัยนั้นเป็นคนเขียนบท ต้องไปขอคำปรึกษาผู้รู้เพื่อความสมจริง ให้สนุก ปัจจุบัน มีปรากฏการณ์นอกเหนือจากวันสถาปนา คือมหาวิทยาลัยเปิดหลักสูตรภาษาสเปน ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ แต่เป็นความจำเป็นที่มีมาแต่เดิม เป็นภาษาที่ใช้ในสหประชาชาติ จำเป็นตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และถึงอนาคต คงมีประโยชน์ ขอแสดงความชื่นชมด้วยความจริงใจ<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhGCbkemH9KGk_gwm7de3Noh4RKLbZMoMpfb13KDG9Tbp4_MSW7XDjIT8oC3b6uKn12A_MMHDfVNS40CEKrYGX16yWlrCqIl_5OZjVm8nqe9nA6PF5cWhY-fSgFVOCbdBZHT5gtRYu0Wzc/s1600-h/donTu2.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhGCbkemH9KGk_gwm7de3Noh4RKLbZMoMpfb13KDG9Tbp4_MSW7XDjIT8oC3b6uKn12A_MMHDfVNS40CEKrYGX16yWlrCqIl_5OZjVm8nqe9nA6PF5cWhY-fSgFVOCbdBZHT5gtRYu0Wzc/s320/donTu2.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5081101153850942930" /></a><br /><br />คุณชวนกล่าวต่อว่า ผมขอเรียนว่าหนังสือดอนกิโฆเต้ฯ นั้น ตอนเด็กๆ ผมไม่เคยได้ยินเลย มาโตขึ้นได้ยิน หนังสือนี้เขียนไว้ตั้งแต่สี่ร้อยปีก่อน แต่กลับไม่มีอิทธิพลสู่เรา ซึ่งความจริงน่าจะมีอิทธิพลไม่มากก็น้อย มหาภารตะยังแพร่หลายกว่าดอนกิโฆเต้ฯ ผมเองยังดอนกิโฆเต้อ่านไม่จบ แต่สะดุดใจรูปก่อน เป็นภาพลายเส้น ฝีมือจิตรกรที่เขียนดีมาก ขอแถมว่านอกจากสาระของหนังสือ นอกจากจะเป็นหนังสือดีแล้ว ภาพลายเส้นนั้นเป็นฝีมือของศิลปินผู้เขียนที่สามารถมาก คนไทยอ่านหนังสือปีละสิบสองบรรทัด โครงการนี้น่าจะเพิ่มได้อีกสักหนึ่งบรรทัด อย่าไปโลภมากครับ ความยาวของหนังสือคงไม่จูงใจให้คนอ่าน แต่ผู้เรียนทุกคณะควรได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ให้ทุกคณะอ่าน ให้เวลาหกเดือนหรือหนึ่งปี อ่านให้จบ ก็จะเป็นประโยชน์ในการเสริมความรู้ทางวรรณกรรมให้นักศึกษาของเรา จะได้ไม่เถียงกันว่าจะทำหลักสูตรอย่างไร ให้คนจบการศึกษาเป็นคนมีคุณภาพ พยายามสร้างคนที่มีสำนึก ความรับผิดชอบ มีหลักของตัวเอง มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ขอให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จ<br /><br />หลังจากนั้นเป็นรายการเสวนา <span style="color:#006600;">'ดอนกิโฆเต้กับการเมือง และธรรมศาสตร์'</span> โดย อ. ทรงยศ แววหงษ์, สุชาติ สวัสดิ์ศรี, อ. นุชธิดา ราศรีวิสุทธิ์, อ. ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ซึ่งขอเรียบเรียงให้ฟังคร่าวๆ ดังนี้<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjvlCYQ_uqYUraS6YtAZyxlEkFUU6c7PeA22oW9xY0DLgGLsgTfslk20m8hs7bRTXL2NNvGMC7rfVg5I-BnNmbz740GhgSYgt7woN0xa9g0MlYvSN_OL4Ev2PXkNHbTl0sMFBOC6Swdk-w/s1600-h/donTu6.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjvlCYQ_uqYUraS6YtAZyxlEkFUU6c7PeA22oW9xY0DLgGLsgTfslk20m8hs7bRTXL2NNvGMC7rfVg5I-BnNmbz740GhgSYgt7woN0xa9g0MlYvSN_OL4Ev2PXkNHbTl0sMFBOC6Swdk-w/s320/donTu6.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5081101742261462498" /></a><center><span style="color:#000099;">(จากซ้าย) ทรงยศ แววหงษ์, นุชธิดา ราศรีวิสุทธิ์, สุชาติ สวัสดิ์ศรี, ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ</span></center><br /><br /><span style="color:#000099;">อ. ทรงยศ แววหงษ์</span> ผู้ดำเนินรายการเริ่มด้วยการบอกว่า สังคมไทยได้ยินชื่อดอนกิโฆเต้ ครั้งแรกๆ จากละครที่คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี ผลักดัน ดอนกิโฆเต้เป็นคนล่าฝัน มีความฝันเกี่ยวกับอุดมคติบางอย่าง ธรรมศาสตร์ก็กำลังล่าฝัน ไม่รู้ว่าหลงไปที่ไหน ตามเจอบ้างหรือยัง นี่ก็ตามไปถึงรังสิต -- ขอแนะนำผู้ร่วมเสวนา เริ่มจากคนซึ่งไม่ค่อยร่วมสมัยเท่าไหร่ เพราะเกิดช้ากว่าเขาเพื่อน คือ <span style="color:#000099;">อ. นุชธิดา ราศรีวิสุทธิ์</span> จบการศึกษาด้าน Latin American Studies จากเบิร์กลีย์ และบรรณาธิการเครางาม ตอนนี้ก็ยังงามอยู่ <span style="color:#000099;">คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี</span> ผู้อยู่นอกเหนือคำแนะนำต่างๆ นานา เป็นผู้ผลักดันคณะละครที่สำคัญที่สุดในแง่ประวัติศาสตร์การละครในเมืองไทย คือคณะละคร 28 ละครเรื่อง 'สู่ฝันอันยิ่งใหญ่' เป็นละครซึ่งฮือฮามาก และ <span style="color:#000099;">อ. ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ</span> อาจารย์เรียนทางด้านรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ปรัชญาการเมือง เป็นผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกศึกษา ซึ่งจะพูดถึง ดอนกิโฆเต้ การเมือง และธรรมศาสตร์<br /><br />อ. นุชธิดา พูดถึงเรื่องที่ว่า ดอนกิโฆเต้ฯ เป็นกระจกสะท้อนภาพประวัติศาสตร์ สังคม การเมือง ของสเปนได้อย่างไร<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. นุชธิดา :</span> อ่านครั้งแรกจะรู้สึกตลก ไม่ว่าดอนกิโฆเต้จะเผชิญกังหันลม ขโมยอ่างช่างตัดผม เห็นโรงเตี๊ยมเป็นปราสาท แต่เรื่องนี้ไม่ได้ให้แค่ความบันเทิง ดอนกิโฆเต้ทำทุกอย่างด้วยสำนึกของความดีงามในจิตใจ ทุกอย่างเป็นโลกของอุดมคติ การผจญภัยของดอนกิโฆเต้เป็นเหมือนการต่อสู้ระหว่างโลกฝันและโลกจริง ความขัดแย้งนี้ออกมาว่าโลกจริงเป็นฝ่ายชนะ แต่การมองโลกแง่ดีของดอนกิโฆเต้แสดงว่าเขาศรัทธาและเชื่อมั่นในความดีงาม ผู้แต่งเป็นคนนำเสนอการมองโลกแง่ดี ให้เรายิ้มและหัวเราะกับตัวละครแทนที่จะมองโลกแง่ร้าย<br /><br />ดอนกิโฆเต้ไล่ตามความฝัน ในขณะที่โลกความจริงเป็นของซานโช่ ปันซ่า ซึ่งสะท้อนสังคมสเปนยุคนั้นว่ามีทั้งความฝันและความจริง เซร์บันเตสผ่านร้อนผ่านหนาวมากมายในชีวิต ได้เห็นสเปนทั้งในยุครุ่งโรจน์และร่วงโรย สเปนเคยทำตัวเป็นพี่ใหญ่ของยุโรป ออกไปรบรา แต่ความจริงคือต้องกู้หนี้ยืมสินคนอื่น ยืมเงินประเทศน้องๆ เพื่อการรบต่างๆ และมาพ่ายแพ้ยับเยิบต่ออังกฤษ ดอนกิโฆเต้คือคนที่เตือนสติว่าอะไรคือมายา อะไรคือความจริง อาจสะกิดเตือนเล็กๆ ว่าให้สเปนเลิกคิดทีเถอะว่าสเปนเป็นจักรวรรดิ สเปนไม่มีเงิน ไม่มีคน ให้ใช้เงินถูกทางหน่อย น่าจะกลับมาแก้ไขปัญหาในประเทศ<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhZCV9VwwhLKQbKgUhXcRo450xIqqTFU676q3QTrA5ZPLZg1pPe4lbfSJOF2HyuCvrDgcA9uzmK0T3AcpxNwCbUtm7lOWQeW2j6XvnVVVxpIQ9rP1T2-3j2NRFWMNpAbYXI_CrV-_SjiSY/s1600-h/donTu8.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhZCV9VwwhLKQbKgUhXcRo450xIqqTFU676q3QTrA5ZPLZg1pPe4lbfSJOF2HyuCvrDgcA9uzmK0T3AcpxNwCbUtm7lOWQeW2j6XvnVVVxpIQ9rP1T2-3j2NRFWMNpAbYXI_CrV-_SjiSY/s320/donTu8.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5081102115923617266" /></a><br /><br />อ. ทรงยศถามคุณสุชาติว่า ดอนกิโฆเต้ฯ สำคัญอย่างไรในแง่วรรณกรรม<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณสุชาติ :</span> ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ตอบ ผมในฐานะสนใจวรรณกรรมโดยทั่วไป คิดว่าวรรณกรรมสำคัญต้องมีองค์ประกอบของมัน นักเขียนดังๆ เช่น ดอสตอยเยฟสกี้ โฟลก์เนอร์ เฮมิงเวย์ นาโบคอฟ ล้วนให้แต้มหนังสือเล่มนี้ ดอนกิโฆเต้และซานโช่ ปันซ่า เหมือนคนคนเดียวกัน เป็นเหรียญเดียวกันที่อยู่ละด้าน สิ่งเหล่านี้ฝังตัวในมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย ที่หนังสือได้รับการยกย่อง ผมคิดว่าเป็นเพราะสามารถสะท้อนความเป็นมนุษย์ได้ในหลายลักษณะ<br /><br />เราทำละคร สู่ฝันอันยิ่งใหญ่ ผ่านบทละครเพลง เอาแก่นของนิยายมาย่อยและแต่งเป็นเพลง ตอนนั้นสังคมไทยผ่านเหตุการณ์ต่างๆ นานา หลังเหตุการณ์สิบสี่ตุลา หกตุลา มีหนังของปีเตอร์ โอทูล ซึ่งคนรุ่นสิบสี่ตุลาชอบมากๆ ทำนอง จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด ดอนกิโฆเต้เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อผู้ถูกกดขี่ มีตอนหนึ่งในละครที่มีคนบอกว่า 'ให้มองชีวิตอย่างที่มันเป็น' แต่ดอนกิโฆเต้บอกว่า 'ให้เรามองชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น' ผมว่าเป็นสิ่งที่ต่อสู้กันในใจคน<br /><br />ถ้าอำนาจวรรณกรรมมีจริง จะต้องมีผลชีวิตจิตใจของเรา ดอนกิโฆเต้นั้นเปลี่ยนตัวเขาจากคนธรรมดาเป็นคนบ้า การต่อสู้ระหว่างอุดมคติและความจริง ความใฝ่ฝันและโลกจริง เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของงานวรรณกรรมต่อมาในยุโรป ถ้าถามว่าดอนกิโฆเต้ฯ สำคัญอย่างไร ประการแรกคือตัวละครคู่หูสองคน มีนัยยะทำให้คนรู้สึกว่าคือตัวเราเอง มีการต่อสู้ ท้อถอย แล้วกลับไปสู้ใหม่ ตัวละครทั้งสองตัวมีอะไรสุดขั้วคนละแบบ แต่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหากัน ระหว่างนั้นมีการพูดคุยถกเถียง สร้างให้เกิดความต่อเนื่อง ซานโช่ ปันซ่าคือคนระดับที่เรียกว่ารากหญ้า (อ. ทรงยศ เสริมว่า PTV) ติดสินบนอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็เอา แต่ขณะเดินทางไปด้วยกันก็ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ถ้าเซร์บันเตสเขียนดอนกิโฆเต้เพียงภาคเดียว เราคงไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงของซานโช่ ในช่วงหลัง ดอนกิโฆเต้รับสภาพตัวเอง แต่ซานโช่ไม่ยอม<br /><br />ดอนกิโฆเต้ฯ สะท้อนสัญลักษณ์ของการต่อต้านทรราชย์และผู้กดขี่ นาโบคอฟเคยกล่าวว่า เมื่อดอนกิโฆเต้ก้าวออกจากหมู่บ้าน สิ่งที่เรียกว่าโลกสมัยใหม่ (modern world) เริ่มปรากฏขึ้น<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. ทรงยศ :</span> กษัตริย์ ฆวน การ์ลอส อยู่ฝ่ายฟรังโก ซึ่งฆ่าคนเยอะในสงครามกลางเมือง หนังสือนี้พิมพ์ด้วยเจตนาดี กษัตริย์สเปนมอบให้เจ้าไทย สามารถเขมือบฝ่ายตรงข้ามเป็นพวกตัวเองได้ ขอจบกะทันหันเพียงเท่านี้<br /><br />อ. ทรงยศถามคุณสุชาติต่อว่าทำไมนักเขียนซ้ายไทย เช่นคุณกุหลาบ สายประดิษฐ์, ม.จ. อากาศดำเกิง, จิตร ภูมิศักดิ์ ไม่พูดถึงหนังสือเล่มนี้ ทำไมสี่ร้อยปี ดอนกิโฆเต้ฯ ยังเดินทางไม่ถึงเมืองไทย จะอธิบายอย่างไร<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณสุชาติ :</span> เป็นความอาภัพของบ้านเรา หนังสือเล่มนี้น่าจะมาถึงห้าสิบปีหรือร้อยปีก่อน ตั้งแต่เริ่มต้น เราส่งนักเรียนไปรับความคิดฝรั่งมา ไปเรียน กลับมาไทยและเขียนหรือแปลหนังสือ เราได้แต่งานเช่น ความพยาบาท ของแมรี่ คอลเรลลี ซึ่งถือเป็นงานชั้นสอง ทำไมงานของโจเซฟ คอนราด, ดอสตอยเยฟสกี้ ไม่ถูกส่งผ่านมาในสังคมไทย เมื่อเทียบกับประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีสถาบันการแปลที่นำงานคลาสสิกและโมเดิร์นคลาสสิกมาแปลหมดแล้ว แม้แต่เช็กเปียร์เราก็ได้บางเรื่อง ไม่ได้แฮมเล็ต ไม่ได้แม็คเบ็ธ เราไม่ได้งานที่เป็นกล่องดวงใจของเขา อยากให้คนรุ่นใหม่ๆ เขาไปศึกษาเรื่องนี้ดู รวมถึงงานแปลต่างๆ ที่มาถึงสังคมบ้านเรา พวกเจบุ๊คส์ เคบุ๊คส์ งานแปลจากญี่ปุ่น-เกาหลี คนรุ่นใหม่อ่านเรื่องแปลของดอนกิโฆเต้ไหม อ่านแล้วรู้สึกลิเกไหม<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjuwzCYMf8yN3Xg0nZnSdVGBGu84uAHoX3CadbbCAWe92uImAuQ_Z-0nmGG7kIgu51WjH3xcHBZfWtkAIZv_tnrL_mb-uaCDgDBA4NRX2ezHVV3tGZi7jE1hZODdg0RX3KdzIK275j5nPY/s1600-h/donTu7.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjuwzCYMf8yN3Xg0nZnSdVGBGu84uAHoX3CadbbCAWe92uImAuQ_Z-0nmGG7kIgu51WjH3xcHBZfWtkAIZv_tnrL_mb-uaCDgDBA4NRX2ezHVV3tGZi7jE1hZODdg0RX3KdzIK275j5nPY/s320/donTu7.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5081102360736753154" /></a><br /><br /><span style="color:#993399;">อ. ธเนศ :</span> หนังสืออันดับสองรองจากไบเบิ้ล หนังสือใหญ่ขนาดนี้ ไม่ต้องพูดนะ กลับไปอ่านดีกว่า<br /><br />ผมเคยแปลบทความของ มิลาน คุนเดอร่า ให้คุณสุชาติ ในเรื่อง ทำไมต้องอ่านหนังสือคลาสสิก นักเขียนคนนี้ฝีปากจัดจ้าน สรุปบทความง่ายๆ ได้ว่าเป็นหนังสือที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ได้อ่านกัน แต่รู้ว่าดี ทุกคนบอกว่าดี แต่ยังอ่านไม่จบ ผมก็บอกว่าอ่านหนังสือพวกนี้ แต่ไม่บอกว่าอ่านไปสามหน้า-ห้าหน้า นี่คือหนังสือคลาสสิก ถ้าถามว่าใครอ่านจบบ้าง--อย่าถามเลยนะครับ เสียบรรยากาศ ผมเห็นภาษาไทยก็นึกว่าเคยเห็นมาก่อนไหม เคยเห็นฉบับย่อ แสดงว่ารุ่นเก่าๆ มีคนแนะนำ แต่ไม่ออกฉบับเต็มๆ ทำไมหนังสือดีๆ ไม่เข้ามาไทย คุณสุชาติแขวะพวกนักเรียนนอก คุณสุชาติไม่ได้เรียนจบเมืองนอกเลยเล่นงานได้เรื่อยๆ ผมพยายามไม่พูดแก้ต่าง (defend) แต่ประเทศอาณานิคมจะได้คลาสสิกเร็วกว่าเรา เช่นมาเลเซีย สิงคโปร์ แต่ปัจจุบัน จะตอบคำถามนี้อย่างนี้ไม่ได้แล้ว ถ้าตอบแบบโพสต์โมเดิร์น มันไม่ใช่ พอเกิดการเขียนนิยายสมัยใหม่ขึ้นมา ก็เกิดการ localization เช่น ดอนกิโฆเต้กลายเป็นพระอภัยมณี งานคลาสสิกอาจจะมาถึงและเห็นได้ในงานของไทย แต่ในลักษณะอื่น<br /><br />ในอเมริกา เจ. เอ็ดการ์ ฮูเวอร์ ชอบหนังสือดอนกิโฆเต้ฯ รู้จักไหมครับ คนนี้เป็นหัวหน้าใหญ่ซีไอเอ ยุคไอเซนฮาวร์ คนที่เราไม่ค่อยชอบทำไมชอบหนังสือเล่มนี้ คนอื่นที่ชอบมีเช่น ซัมเมอร์เซ็ต มอห์ม, ซามูเอล จอห์นสัน กล่าวว่ามีหนังสือสามเล่มที่น่าจะยาวกว่านี้ คือ ดอนกิโฆเต้, โรบินสัน ครูโซ และ The Pilgrim's Progress<br /><br />วิลเลี่ยม บัตเลอร์ ยีตส์ กล่าวว่าไม่มีบทละครใดที่หลังจากอ่านจบแล้ว ที่ตัวละครจะตามเราออกมา ดังที่ดอนกิโฆเต้ตามเราออกมาจากหนังสือ ซาบซึ้งมากครับ<br /><br />การเมืองปัจจุบันไม่มีดุลยภาพ ผมคิดว่ารัฐธรรมนูญเป็นเอกสารที่ไม่มีจินตนาการเลย ยิ่งร่างมากขนาดนี้ยิ่งไม่มีจินตนาการ ซึ่งจะทำให้ไม่มีพลัง และจะต้องพังและล้มไป ผมมีเอกสารติดตัวมาด้วย มีสติกเกอร์ 'ไม่ร่วม ไม่ร่าง ไม่รับ รัฐธรรมนูญฉบับรัฐประหาร' แต่มีชุดเดียวนะครับ การเมืองสมัยใหม่เขาค้นพบระบบประชาธิปไตย พวกเรารับมา ผมว่าอุปสรรคใหญ่ของระบบประชาธิปไตยคือการคิดว่าเหตุผลแก้ปัญหาได้ วิกฤติของเรานั้น เรามีระบบการเมืองที่มีแต่เหตุผล ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีบริบทด้วย แต่ไม่มีจินตนาการ มีแต่จุดหมายที่ต้องการ<br /><br />คำถามตอนแรกว่าธรรมศาสตร์จะไปไหน ผมว่ายังไม่เจอเป้าหมาย เพราะมันเริ่มต้นด้วยการไม่มีจินตนาการของความเป็นธรรมศาสตร์ ยุคหนึ่งธรรมศาสตร์มีจุดหมายคือการเมือง คนเข้ามาคือชาวบ้าน เริ่มต้นด้วยการเป็นตลาดวิชา นี่คือสิ่งที่ดอนกิโฆเต้ทำ ตัวละครในเรื่องเป็นชาวบ้านหมดเลย เป็นคนเลี้ยงแกะ เลี้ยงแพะ เลี้ยงหมู ช่างตัดผม มีบาทหลวงก็เป็นบาทหลวงชาวบ้าน<br /><br />ธรรมศาสตร์กลายจากตลาดวิชาเป็นมหาวิทยาลัยปิด ช่วงหนึ่งของการปิดมหาวิทยาลัยมีแสงสว่างอันใหม่เกิดขึ้น คือการเกิดคณะศิลปศาสตร์ ผมคิดว่าแนวคิดคือความคิดการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ผมประทับใจมาก แต่ก่อนอาจารย์ผู้ก่อตั้งคอยมาเดินดู ผมเห็นคนใส่เสื้อนอกก็ต้องสยบแล้ว คณะนี้ศึกษาด้านมนุษยศาสตร์ เรียนจินตนาการทั้งนั้น เป็นความคิด คิดฝัน อย่างคุณสุชาติก็เป็นรุ่นหนึ่งของคณะศิลปศาสตร์ ผ่านมาสามสิบปี เรากำลังนั่งมองว่าความฝันจะจุดไฟได้อีกไหม ความฝันไม่ใช่การจัดการ ตอนนี้อยู่ในยุคโครงการพิเศษ จ่ายแพงก็ได้ จ่ายถูกก็ได้...แบบถูกๆ... ผมนึกไม่ออกว่าจะไปหาจินตนาการมาจากที่ไหนในระบบแบบนี้ ผมก็อยากเป็นซานโช่ ปันซ่า เงินเดือนอาจารย์ก็น้อยๆ แต่แล้วเขาจะให้เราจุดไฟให้คนรุ่นใหม่ ผมสอนวิชาสหวิทยาการมนุษยศาสตร์ มีความเห็นจากนักศึกษาว่าไม่รู้จะเรียนไปทำไม แต่พอจบแล้วเขาก็เห็นคุณค่านะครับ<br /><br />ด้านดีของความเป็นคนมันต้องมี ต้องออกมา มีความหวัง ผมได้คุยกับคุณมกุฏ เห็นว่าจะพิมพ์หนังสือดีหนังสือคลาสสิกออกมา ผมว่ายังจะมีคนอ่าน เป็นแรงบันดาลใจต่อไป ของดีทุกอย่างต้องเริ่มที่ปริมาณน้อย ถ้าบังคับให้ทุกคนอ่าน จะเป็นการฆาตกรรม เพราะเขาจะไม่อยากอ่านหนังสืออีกเลย กลับบ้านไม่ต้องไปบอกให้ลูกหลานอ่านนะครับ ซื้อมาวางไห้เขาเห็นทุกวัน แล้วให้เขามาดูละครเพลงอาทิตย์หน้าดีกว่า<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. ทรงยศ :</span> ในเรื่องนี้ ซานโช่ ปันซ่า หิวมาก อยากกิน ดอนกิโฆเต้บอกว่าไม่มีตอนไหนในนิยายอัศวินที่เขาจะกินข้าวกัน เมื่อเช้าผมเห็นข่าวการแจกเงิน ที่หัวคะแนนเอาคนมาแจกเงิน เขาบอกว่าเอาเสื้อไปด้วย เปลี่ยนเสื้อแล้วจะได้กลับมาเอาเงินรอบสองได้ นี่เป็นซานโช่ ปันซ่าจริงๆ<br /><br />เสน่ห์ของหนังสือที่อยู่ได้ถึงสี่ร้อยปี ก็เพราะอ่านในยุคสมัยต่างๆ ในบริบทที่แตกต่างกัน ก็จะได้ความหมายที่หลากหลายไปเรื่อยๆ<br /><br />คุณสุชาติทิ้งท้ายว่า วรรณกรรมที่มีคนพูดถึง เป็นเพราะมันมีชีวิต สร้างฐานทางจินตนาการให้วัฒนธรรมการอ่าน-วัฒนธรรมหนังสือ ในเรื่อง Zorba the Greek ของ Nikos Kazantzakis ซอร์บากล่าวว่า "I hope for nothing. I fear for nothing. I am free." เขาเป็นอิสรชน ดอนกิโฆเต้ก็คืออิสรชน<br /><br />อ. ธเนศ ยกวาทะบางตอนจากหนังสือมาเล่าฟัง เช่นตอนที่ดอนกิโฆเต้ทำตัวเป็นบ้า ซานโช่ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องทำตัวเป็นบ้า จึงถามว่า <span style="color:#000099;">"ข้าเข้าใจว่า อัศวินที่ทำดังนั้นก็ด้วยมีเหตุกระตุ้น แล้วนายท่านเล่าขอรับ อะไรคือเหตุให้ท่านต้องกลายเป็นบ้า"</span> ดอนกิโฆเต้ตอบว่า<br /><br /></p><blockquote><span style="color:#000099;">"นี้แลคือข้อหมายสำคัญ นี้คือความละเอียดอ่อนของสิ่งที่ข้าจะกระทำ<br />การที่อัศวินพเนจรบ้าคลั่งด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ย่อมไม่มีคุณค่าอันใด<br />ความวิเศษของมันอยู่ที่ว่า ไม่มีมูลเหตุอันใดต่างหากเล่า เช่นนี้<br />แม่หญิงของข้าจักเข้าใจได้ว่า แม้มิมีมูลเหตุข้าก็ยังกระทำปานนี้<br />หากมีมูลเหตุประกอบด้วยจักลุกลามถึงเพียงไหน"<br /></span></blockquote><br /><p><br />บทตอนนี้เรียกเสียงฮาและเสียงผิวปากหวือจากผู้ชมในห้องประชุม<br /><br />อ. ธเนศ ยกตัวอย่างต่อไปว่า ตอนหนึ่งดอนกิโฆเต้กล่าวถึงยุคทอง ดังนี้ <span style="color:#000099;">"ได้ชื่อว่ายุคทองก็เนื่องแต่เป็นยุคที่มิแบ่งเขาแบ่งเรา สรรพสิ่งในศานติสมัยล้วนเท่าเทียมกันทั้งสิ้น มนุษย์ทุกผู้เมื่อปรารถนาสิ่งใดเพื่อดำรงชีพ ลำบากก็เพียงยื่นมือคว้าจากต้นโอ๊ค"</span> นี่คล้าย ยูโทเปีย ของโทมัส มอร์ แนวคิดการมองคนเท่าเทียมกันเริ่มเกิดแล้ว เกิดในคนระดับล่าง ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าวรรณคดีไทยจะมีบ้างไหมที่คนอยากเป็นอิสระ เป็นไพร่ที่อยากหลุดพ้น ส่วนใหญ่เห็นแต่ไพร่ที่อยากมีเจ้านาย อันนี้ก็ต้องศึกษาดูนะครับ<br /></p>Don de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-3730209939703745791.post-51225839494828871432007-06-17T13:59:00.000+07:002007-06-17T13:59:24.468+07:00งานนิทรรศการ ดอนกิโฆเต้ฯ ที่ธรรมศาสตร์<p>นิทรรศการหนังสือ ดอนกิโฆเต้ฯ ที่ธรรมศาสตร์ เนื่องในวันสถาปนามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเปิดหลักสูตรวิชาภาษาสเปน ร่วมจัดงานโดยสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สำนักพิมพ์ผีเสื้อ ดวงกมลฟิลม์เฮ้าส์ นิตยสาร ฅ คน<br /><br /><span style="color:#006600;"><strong>27 มิถุนายน - 20 กรกฎาคม 2550<br /></strong>ณ หอสมุดปรีดี พนมยงค์ โถงนิทรรศการ ชั้น U.1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ</span><br /><br />พิธีเปิดงาน พุธ 27 มิถุนายน 2550 13.30 น. โดย <span style="color:#333399;">นายชวน หลีกภัย<br /></span><br />เวลาทำการหอสมุดปรีดี พนมยงค์ :<br /> จันทร์-ศุกร์ 8.00-20.00 น., เสาร์-อาทิตย์ 9.00-18.00 น.<br />ติดต่อฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาห้องสมุด สำนักหอสมุด โทรศัพท์ 02-613-3518-9 ในวันเวลาราชการ<br /><br />ในงานมีการเสวนาเกี่ยวกับหนังสือดอนกิโฆเต้ฯ เบื้องหลังความเป็นมาของฉบับแปลภาษาไทย แสดงหนังสือดอนกิโฆเต้ภาษาต่างๆ แสดงเหรียญกษาปณ์ทองคำและเหรียญเงิน รูปดอนกิโฆเต้และเซร์บันเตส ภาพและโปสเตอร์ดอนกิโฆเต้ จำหน่ายของที่ระลึกต่างๆ เพื่อมอบรายได้แก่สำนักหอสมุด สำหรับกิจกรรมบริการทางวิชาการแก่สังคม และโครงการชนบทของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์<br /><br />สำนักพิมพ์ผีเสื้อจะจัดพิมพ์หนังสือดอนกิโฆเต้ฯ ฉบับภาษาไทยขึ้นเป็นพิเศษเนื่องในโอกาสนี้ โดยมีตราสัญลักษณ์รูปโดมประดับหน้าปก และพิมพ์ปกด้วยสีประจำมหาวิทยาลัย เพื่อจำหน่ายในงานนี้เท่านั้น และมอบรายได้แก่สำนักหอสมุด สำหรับกิจกรรมบริการทางวิชาการแก่สังคม และโครงการชนบทของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์</p><p><span style="color:#006600;">กิจกรรมและเสวนาจัดที่ ห้องกิจกรรมเรวัต พุทธินันทน์ ชั้น U2 หอสมุดปรีดี พนมยงค์</span><br /> <span style="color:#990000;">บุคคลภายนอก โปรดนำบัตรประชาชนหรือบัตรนักศึกษาติดตัวไปด้วย เพื่อเข้าหอสมุด</span></p><p>พุธ 27 มิถุนายน 14.30 น.เสวนา <span style="color:#006600;">'ดอนกิโฆเต้ฯ กับการเมือง และธรรมศาสตร์'</span><br />โดย <span style="color:#333399;">สุชาติ สวัสดิ์ศรี, ทรงยศ แววหงส์, นุชธิดา ราศรีวิสุทธิ์, รศ. ดร. ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ</span><br />หลังเสวนา ฉาย<span style="color:#006600;">ภาพยนตร์ ดอนกิโฆเต้ฯ</span> ของ Orson Welles<br /><br />เสาร์ 30 มิถุนายน 13.30 น. ฉาย<span style="color:#006600;">ภาพยนตร์ ดอนกิโฆเต้ฯ</span> ของ Orson Welles<br /><br />เสาร์ 7 กรกฎาคม 13.30 น.เสวนา <span style="color:#006600;">'ดอนกิโฆเต้ฯ นักฝันหรือคนบ้า'</span><br />โดย <span style="color:#333399;">เวียง วชิระ บัวสนธ์, สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ, อธิคม คุณาวุฒิ, ดร. ชาติชาย นรเศรษฐาภรณ์<br /></span>หลังการเสวนาฉาย<span style="color:#006600;">ละครเพลง 'สู่ฝันอันยิ่งใหญ่'</span> ของคณะละคร 28<br /><br />เสาร์ 14 กรกฎาคม 13.30 น.เสวนา <span style="color:#006600;">'นวนิยายดีที่สุดในโลก ดีอย่างไร'</span><br />โดย <span style="color:#333399;">วัลยา วิวัฒน์ศร, ดร. ปณิธิ หุ่นแสวง, มกุฏ อรฤดี<br /></span>หลังเสวนาฉาย<span style="color:#006600;">ภาพยนตร์ ดอนกิโฆเต้</span> ของ Peter Yates<br /><br />กำหนดการกิจกรรม<br /><a href="http://www.bflybook.com/DonQvixote_Agenda.htm">http://www.bflybook.com/DonQvixote_Agenda.htm</a><br />รายละเอียดเพิ่มเติม<br /><a href="http://www.bflybook.com/">http://www.bflybook.com/</a><br /><br />แผนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์<br /><a href="http://www.bflybook.com/Temp4/DonTU/PicSmallSuperNew/TUmap.gif">http://www.bflybook.com/Temp4/DonTU/PicSmallSuperNew/TUmap.gif</a><br />รถประจำทาง ขสมก ที่ผ่านธรรมศาสตร์<a href="http://www.bflybook.com/Temp4/DonTU/PicSmallSuperNew/BusLine.gif"><br /></a><a href="http://www.bflybook.com/Temp4/DonTU/PicSmallSuperNew/BusLine.gif">http://www.bflybook.com/Temp4/DonTU/PicSmallSuperNew/BusLine.gif</a><br />แผนที่ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์<a href="http://www.bflybook.com/Temp4/DonTU/PicSmallSuperNew/TUmapInside.gif">http://www.bflybook.com/Temp4/DonTU/PicSmallSuperNew/TUmapInside.gif</a></p><p>สอบถามรายละเอียดที่ 02-261-6330, 02-663-4660-2 หรือ <a href="mailto:dondebangkok@yahoo.com">dondebangkok@yahoo.com</a> </p>Don de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3730209939703745791.post-15067178138869100022007-06-14T15:26:00.001+07:002007-06-14T15:26:31.709+07:00แนะนำตัวละคร ดอนกิโฆเต้ฯ<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgnk0mDfWkWdSpW4-NvuPyQBiI5LBp6UWWFVe4sP5Yp8IoAvP47ED02bbvAZrCzz5DdUf28zNAktrDVbOujhMt2CyJ786OouAP07F2ROI8Y4oGniP-ajmo_dZYYrmfz8P9PO4ElGngmF0w/s1600-h/Don.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5075830175644348738" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgnk0mDfWkWdSpW4-NvuPyQBiI5LBp6UWWFVe4sP5Yp8IoAvP47ED02bbvAZrCzz5DdUf28zNAktrDVbOujhMt2CyJ786OouAP07F2ROI8Y4oGniP-ajmo_dZYYrmfz8P9PO4ElGngmF0w/s200/Don.gif" border="0" /></a><br /><br /><span style="color:#333399;"><strong>ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า</strong><br /></span><br />ขุนนางต่ำศักดิ์ผู้มีถิ่นกำเนิดที่ลามันช่า อายุห้าสิบปีเศษ<br />แข็งแรง ผอมเกร็ง แก้มตอบ ใช้เวลายามว่าง (คือเกือบทั้งปี)<br />หมกมุ่นอ่านแต่นิยายอัศวินด้วยคลั่งไคล้ใหลหลง อ่านเช้ายันค่ำ<br />ค่ำยันเช้าจนถึงแก่เสียจริตในที่สุด และตกลงใจเป็นอัศวินพเนจร<br />เดินทางไปทั่วเพื่อกำจัดภัยพาล อภิบาลสาวพรหมจารี<br />ชำระล้างความอัปยศและอยุติธรรมในโลก<br /><br />เขาเป็นอัศวินผู้กล้า มั่นในรักสุดซึ้ง และเขาเชื่อว่าชีวิตสุขสบาย บำเหน็จรางวัล แลการพักผ่อนนั้น<br />มีไว้เพื่อข้าราชสำนักผู้อ่อนแอ แต่อุปสรรค การครุ่นคิด ตลอดจนการศึกนั้น<br />สรรไว้เพื่อบุคคลที่โลกขนานนามว่า ‘อัศวินพเนจร’<br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhsGErcncxc9nR-R_N3H8-e0i8naNBS8YnAxOgX7cLg7eyhc0MxJc9JTiFFeFwDqViAiSi1pF7oguRiOotqrxbqrLSDAA4BlOJTLIklU3vPU_NH_pFYYavWyPNSLuMejivp4K1LzR5WRUk/s1600-h/sancho.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5075829982370820402" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhsGErcncxc9nR-R_N3H8-e0i8naNBS8YnAxOgX7cLg7eyhc0MxJc9JTiFFeFwDqViAiSi1pF7oguRiOotqrxbqrLSDAA4BlOJTLIklU3vPU_NH_pFYYavWyPNSLuMejivp4K1LzR5WRUk/s200/sancho.gif" border="0" /></a><br /><br /><strong><span style="color:#333399;">ซานโช่ ปันซ่า</span></strong><br /><br />อัศวินสำรองของดอนกิโฆเต้<br />เป็นชาวนาที่ไม่มีสมองเท่าใดนัก ตัวเตี้ย พุงพลุ้ย<br />แต่ขายาวดุจไหกระเทียมต่อขา ขี้ตื่นและติดจะตาขาว<br />ปากมาก ไม่สำรวมวาจา ดอนกิโฆเต้ชักชวนให้ร่วมผจญภัย<br />โดยสัญญาจะให้ซานโช่ปกครองดินแดนมีน้ำล้อมรอบ<br />น้ำใจและความภักดีของซานโช่ทำให้ดอนกิโฆเต้ยกย่องว่า<br />’เป็นอัศวินสำรองสุดเลอเลิศผู้หนึ่งที่อัศวินพเนจรเคยมีมา’<br /><br />เซร์บันเตสกล่าวในคำนำว่า อย่าขอบใจเขาเพราะแนะนำให้รู้จักดอนกิโฆเต้ แต่ให้ขอบใจที่เขาแนะนำซานโช่ ปันซ่า<br />ซึ่ง ‘เป็นเพชรน้ำเอกเหนืออัศวินสำรองทั้งปวง เท่าที่เคยปรากฏในนิยายอัศวิน’<br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEihCMVPffun5HsKCDIZzrdvRsCl_QKYg3QkUcTFUkbWdrhFGuhwd9PqF6WDKVGcrHWfmwfGse2dzEPkXeTrvXAiholcM0jGkzvOj46XtJWBe53Py-gBDRdQVYgHhqBG-dZmm7Im9ce-ycM/s1600-h/Ducinea.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5075830746874999122" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEihCMVPffun5HsKCDIZzrdvRsCl_QKYg3QkUcTFUkbWdrhFGuhwd9PqF6WDKVGcrHWfmwfGse2dzEPkXeTrvXAiholcM0jGkzvOj46XtJWBe53Py-gBDRdQVYgHhqBG-dZmm7Im9ce-ycM/s200/Ducinea.gif" border="0" /></a><br /><br /><strong><span style="color:#333399;">ดุลสิเนอา แห่งโตโบโซ่</span></strong><br /><br />นางในดวงใจของดอนกิโฆเต้<br />หญิงงามผู้สูงศักดิ์และเลอโฉมพิลาสหาใดเปรียบ<br />ดวงเนตรสีทองอำพัน เกศาเป็นประกายดุจทองคำ ผิวขาวปานหิมะ<br />สองปรางแต้มสีกุหลาบ ความงามและความดีของนางเลิศล้ำ<br />เหนือคำพรรณนาของกวีคนใด วีรกรรมทั้งหมดของดอนกิโฆเต้อุทิศแด่นาง ด้วยว่า<br />‘อัศวินใดแม้นปราศจากความรักแล้วไซร้ ก็เปรียบประดุจร่างอันปราศจากวิญญาณ’<br /><br />ดอนกิโฆเต้รำพันถึงเจ้าหัวใจของเขาว่า ‘โอ้! แม่หญิงดุลสิเนอาแห่งโตโบโซ่ ผู้เป็นทิวาในราตรี<br />ประทีปในความทุกข์ ดาวเหนือส่องนำทาง แลดารา<br />นำโชคแห่งชีวิตข้า’<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhUjQN61NnkS79uHDl66K13J055IJBoN3yoGwaSrnGN1oN_yxtOwxqdmNSLnXcs2QzW0_I4RhmO-NGZAwPxv3LUCLxb82qHw3GNHdZXTW0727AAFdVLDrsYyYgCWo4s1HAvwX6VpFt3HYs/s1600-h/Rosinante.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5075831343875453282" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhUjQN61NnkS79uHDl66K13J055IJBoN3yoGwaSrnGN1oN_yxtOwxqdmNSLnXcs2QzW0_I4RhmO-NGZAwPxv3LUCLxb82qHw3GNHdZXTW0727AAFdVLDrsYyYgCWo4s1HAvwX6VpFt3HYs/s200/Rosinante.gif" border="0" /></a><br /><br /><strong><span style="color:#333399;">โรสินันเต้</span></strong><br /><br />ม้าคู่ใจของดอนกิโฆเต้<br />เป็นม้าหย็องกรอด ผอมกะหร่อง มีแต่หนังหุ้มกระดูกดั่งฝีในท้องรุมเร้า<br />มีนิสัยเฉื่อยเนือย ยกขาหน้ากระโจนไม่เป็น<br />แต่ดอนกิโฆเต้กลับเห็นว่าเป็นยอดอาชา<br />ยิ่งกว่าม้าของจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์<br />นามโรสินันเต้ แปลว่า ‘ม้าที่เคยทุรลักษณ์’<br />ภายหลังมีผู้เขียนคำสดุดีว่าเป็น ‘ยอดอาชาคู่ขวัญ ยอดอัศวิน’<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjT3h0lDGZyRqGb_Dm6UrDQaGF4PUJvatOuwpFG9Wd1yMycAwpOP1N4FsoxTXs8I4eyo15CdSVgZnxibxMe9Ibp1LaiMkFT5K0Zm0ZLB91_bAkN1_OXSp8Rde0cNl1s2UHSf14-i8kUTEc/s1600-h/La.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5075832950193222002" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjT3h0lDGZyRqGb_Dm6UrDQaGF4PUJvatOuwpFG9Wd1yMycAwpOP1N4FsoxTXs8I4eyo15CdSVgZnxibxMe9Ibp1LaiMkFT5K0Zm0ZLB91_bAkN1_OXSp8Rde0cNl1s2UHSf14-i8kUTEc/s200/La.gif" border="0" /></a><br /><br /><strong><span style="color:#333399;">ฬาของซานโช่</span></strong><br /><br />พาหนะคู่ใจของซานโช่ เป็นฬาลักษณะดี<br />เมื่อซานโช่กลับถึงบ้าน<br />หลังจากออกผจญภัยกับดอนกิโฆเต้<br />และเจอหน้าเมีย สิ่งแรกที่เมียถามคือ<br />’ฬายังอยู่ดีหรือไม่’<br /><br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgC7aLH0352S97lzBZgYG2SX0GHV0jjhyphenhyphenzx0n_-9NVyLNQRxMPrE6MPoS9ukBM5frlR1WGCcWSkDGOnDuinh006_PZAnn6Cy9KqzWA7OlFcVUVgStJDJ9_GiVh7FGUGS-jl3ebatHZu1wI/s1600-h/Lorenzo.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5075833212186227074" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgC7aLH0352S97lzBZgYG2SX0GHV0jjhyphenhyphenzx0n_-9NVyLNQRxMPrE6MPoS9ukBM5frlR1WGCcWSkDGOnDuinh006_PZAnn6Cy9KqzWA7OlFcVUVgStJDJ9_GiVh7FGUGS-jl3ebatHZu1wI/s200/Lorenzo.gif" border="0" /></a><br /><br /><strong><span style="color:#333399;">อัลด็อนซ่า โลเร็นโซ่<br /></span></strong><br />สาวชาวนาที่ดอนกิโฆเต้แอบมีจิตปฏิพัทธ์มาเนิ่นนาน<br />อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ เป็นหญิงร่างสูงล่ำสัน<br />แข็งแกร่งบึกบึน กล้าหาญ มีขนหน้าอก เสียงดังกึกก้อง<br />นางพุ่งแหลนไกลกว่าชายหนุ่มผู้แข็งแรงที่สุดในหมู่บ้าน<br />และมีฝีมือหมักหมูเค็มเป็นเลิศกว่าหญิงใดในแคว้นลามันช่าDon de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3730209939703745791.post-21757051937358617822007-06-14T15:07:00.000+07:002007-06-14T15:07:23.411+07:00ดอนกิโฆเต้ฯ ฉบับปกอ่อน<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgtQgmOwW6HkTIjZ_fiNicKbQCHH2mApYVqA0hV0zMcf8kg1d68cIPHeizWhWsb1XcBdTobYbpADQX5y7bsfGaWkhpRt2g9rz3ifuDxDuRXxO2mnusz5EtyD5Zvc1QvthubqOufkJaPY9k/s1600-h/don3.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5075826872814498034" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgtQgmOwW6HkTIjZ_fiNicKbQCHH2mApYVqA0hV0zMcf8kg1d68cIPHeizWhWsb1XcBdTobYbpADQX5y7bsfGaWkhpRt2g9rz3ifuDxDuRXxO2mnusz5EtyD5Zvc1QvthubqOufkJaPY9k/s320/don3.jpg" border="0" /></a><br /><br /><div><strong>ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน</strong><br />เล่มเล็ก ฉบับปกอ่อน ราคา 494 บาท จำหน่ายเฉพาะใน "ร้านหนังสือ" เท่านั้น<br />ISBN 9789741403325 สำนักพิมพ์ผีเสื้อ<br /><br />รายละเอียดจาก ดวงกมลสมัย ผู้จัดจำหน่าย<br /><a href="http://www.dktoday.net/dktoday2/book/butterfly/9789741403325.htm">http://www.dktoday.net/dktoday2/book/butterfly/9789741403325.htm</a><br /></div><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhyAQ0mVXx-HholJ7h5iMwY0JCGcrGbyKO_jQjkvrn8XSY6qk_MmAvwI9yPE-s48x6HnivfHWovxaz5gXa3iumhOoDdAsgdyheNghAfSq7fL78NhbAj6jK8u0CL5glQV_wpl4Cii4cYZtI/s1600-h/don1.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5075827040318222594" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhyAQ0mVXx-HholJ7h5iMwY0JCGcrGbyKO_jQjkvrn8XSY6qk_MmAvwI9yPE-s48x6HnivfHWovxaz5gXa3iumhOoDdAsgdyheNghAfSq7fL78NhbAj6jK8u0CL5glQV_wpl4Cii4cYZtI/s320/don1.jpg" border="0" /></a>Don de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.com5tag:blogger.com,1999:blog-3730209939703745791.post-39078930739196214102007-04-21T00:50:00.001+07:002007-04-21T00:50:15.169+07:00รูปงาน ฌาคส์ เพรแวรต์ รำลึก<span style="color:#000066;">พวกเขาเรียกเกาะเหล่านี้ว่า หมู่เกาะชเลจร</span><br /><span style="color:#000066;">ทั้งนี้เป็นเพราะเกาะเหล่านี้ไม่เคยอยู่กับที่</span><br /><br />-- <span style="color:#006600;">ฌาคส์ เพรแวรต์</span> , <span style="color:#000000;">จดหมายจากหมู่เกาะชเลจร</span><br />แปลโดย <span style="color:#006600;">วัลยา วิวัฒน์ศร</span><br /><br /><br /><p><br /><br /></p><p align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiFGHCxQRhgmH8nFVvP37Gs59vfNVBW19MHmQ1mXGi1OCC1bCSVCBIgWZNZw-IGwUU8gaS_0MOusY9-32-d1_4E3i3KauTzSiZKmMJG8jYWfNYxRDnzmV5esXS7XoJJhSyKrnt_DhMaTMk/s1600-h/pic01.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5055567658518142834" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiFGHCxQRhgmH8nFVvP37Gs59vfNVBW19MHmQ1mXGi1OCC1bCSVCBIgWZNZw-IGwUU8gaS_0MOusY9-32-d1_4E3i3KauTzSiZKmMJG8jYWfNYxRDnzmV5esXS7XoJJhSyKrnt_DhMaTMk/s320/pic01.jpg" border="0" /></a> ผู้กล่าวเปิดงานเสวนาคือคุณฌ็อง ชาร์กอนเนต์ ผู้ช่วยทูตวัฒนธรรมสถานทูตฝรั่งเศส<br /></p><div align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgupA5v8aIZDX_G85DpNF0AY6O0SGIgCf_XHneiNSGjd4zHJle0Ichd-0ZiznGksP1eyQYSy5NtfoedySQ6RVUIcj38KhQqW3CrR-Eq1RwAty4FKB7l8z_NaKD58YZlWHzmorT04YfqEwY/s1600-h/pic02.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5055567576913764194" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgupA5v8aIZDX_G85DpNF0AY6O0SGIgCf_XHneiNSGjd4zHJle0Ichd-0ZiznGksP1eyQYSy5NtfoedySQ6RVUIcj38KhQqW3CrR-Eq1RwAty4FKB7l8z_NaKD58YZlWHzmorT04YfqEwY/s320/pic02.jpg" border="0" /></a> วัลยา วิวัฒน์ศร ผู้แปล และ อ. ปณิธิ หุ่นแสวง ผู้ร่วมเสวนา</div><div align="center"><br /><br /><hr /><br />การอ่านบทนิพนธ์เรื่องโรงอุปรากรแห่งดวงจันทร์ โดยนิสิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEggfZjOBMI70j7h57M_03rn9SVNOKXyP1A58twDlEbWB_o0XP2Oo1g_B2ZEDqmBE9HqJvO4f50pu2B3QHaIHNV6ftjuZKDxHs1W-3W4xkuNhir-J6ZGTwm3JbiFiEYPUC59_EJhKEHaOBk/s1600-h/pic03.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5055567473834549074" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEggfZjOBMI70j7h57M_03rn9SVNOKXyP1A58twDlEbWB_o0XP2Oo1g_B2ZEDqmBE9HqJvO4f50pu2B3QHaIHNV6ftjuZKDxHs1W-3W4xkuNhir-J6ZGTwm3JbiFiEYPUC59_EJhKEHaOBk/s320/pic03.jpg" border="0" /></a><br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEigqBCW9ei02EcgyUbnOVj60VWE0Wh3vkfs7hxIKNk_BjXEEFb4tNaeGa23vrKEQMVMHy7Y3wO5sU1X0wO_T97wLoKGTawJq3Lv1wkwWGxwXHqpLbIo_gFrtUB4eAq9gIBQxj5ng_dzcHA/s1600-h/pic04.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5055567383640235842" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEigqBCW9ei02EcgyUbnOVj60VWE0Wh3vkfs7hxIKNk_BjXEEFb4tNaeGa23vrKEQMVMHy7Y3wO5sU1X0wO_T97wLoKGTawJq3Lv1wkwWGxwXHqpLbIo_gFrtUB4eAq9gIBQxj5ng_dzcHA/s320/pic04.jpg" border="0" /></a><br /><br /><br /></div><div align="center"><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgqginWf2adMLxtvASrVk656q48sTd-ZaTiVM3srV2k_OeEpEKAp5ow2nEIacxyeSmMPBs7lFOYh9MKcbgAFj9reUl9goY1XVh3iT9vV2fTmJN-bm_ThjCBT2BIQJaiCjI4dESzGJQvKbM/s1600-h/pic05.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5055567280561020722" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgqginWf2adMLxtvASrVk656q48sTd-ZaTiVM3srV2k_OeEpEKAp5ow2nEIacxyeSmMPBs7lFOYh9MKcbgAFj9reUl9goY1XVh3iT9vV2fTmJN-bm_ThjCBT2BIQJaiCjI4dESzGJQvKbM/s320/pic05.jpg" border="0" /></a> </div></div>Don de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3730209939703745791.post-66150497505148224582007-04-12T18:00:00.000+07:002007-04-12T18:00:10.864+07:00งาน ฌาคส์ เพรแวรต์ รำลึก<p>Jacques Prevert (1900 - 1977) เป็นกวีชาวฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 2007 รัฐบาลฝรั่งเศสฉลองครบรอบ 30 ปีแห่งมรณกรรมของเขา ในโอกาสนี้สำนักพิมพ์ผีเสื้อจัดพิมพ์ 'จดหมายจากหมู่เกาะชเลจร' (Lettre des Iles Baladar, 1952) และ 'โรงอุปรากรแห่งดวงจันทร์' (L'Opera de la lune, 1953) โดยสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสในประเทศไทยสนับสนุนการแปล การพิมพ์ และจัดเสวนาว่าด้วยผลงานของฌาคส์ เพรแวรต์ ผลงานสองเล่มนี้แปลโดย อ. วัลยา วิวัฒน์ศร<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjD4UCENM2V2vmEp5cQOzprNEHhA4aezpRh_axe2gytO6OVIqgkGmekLnu1cbr6r5d589noOlcQXXwENYGYqOexcIE7mzbIYPHLaGrUNL2HcRdURNGxuXuon5Gp4yGoEiTk-L3SkmZfsQ4/s1600-h/pic6.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5052489553216387298" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjD4UCENM2V2vmEp5cQOzprNEHhA4aezpRh_axe2gytO6OVIqgkGmekLnu1cbr6r5d589noOlcQXXwENYGYqOexcIE7mzbIYPHLaGrUNL2HcRdURNGxuXuon5Gp4yGoEiTk-L3SkmZfsQ4/s320/pic6.jpg" border="0" /></a><br /><br />ผู้กล่าวเปิดงานเสวนานี้คือคุณฌ็อง ชาร์กอนเนต์ ผู้ช่วยทูตวัฒนธรรมสถานทูตฝรั่งเศส เขารู้จักเพรแวรต์มานานแล้ว และได้เห็นว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงอ่านบทประพันธ์ Le Cancre (เด็กเกเร) ของเพรแวรต์ ทำให้ได้แรงบันดาลใจนิพนธ์บทกวี L'Arraignee (แมงมุม)<br /><br />เพรแวรต์ไม่ได้เขียนเพียงบทกวี ยังเขียนบทภาพยนตร์กว่า 50 เรื่อง และเขียนงานอื่นๆ อีกจำนวนมาก ให้เด็กๆ ไปใช้ในโรงเรียน เขาเป็นกวีผู้สามารถเอาเรื่องชีวิตประจำวันมาเขียนเป็นภาษาง่ายๆ ทำให้ผู้คนติดใจ ถือเป็นกวีดังผู้เป็นที่รู้จักมากคนหนึ่งในศตวรรษที่ 20 </p><br /><p>หลังจากนั้นเป็นการเสวนา จดหมายจากหมู่เกาะชเลจร โดย อ. ปณิธิ หุ่นแสวง และ อ. วัลยา วิวัฒน์ศร ผู้แปลหนังสือ<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjLO-A5YyuyIgIAp-DA5N8T_36xQ_mkFc_WqOKct2O3zEhuBl1SdWsnINkftT78L1gYk6hc22_CYq-FSBteOian-PaMG8NnyYlXxQDF3QCyIoTW7GZMZ4zU6fMX5tntTrRRN1uaeDGNEc4/s1600-h/pic4.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5052489802324490482" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjLO-A5YyuyIgIAp-DA5N8T_36xQ_mkFc_WqOKct2O3zEhuBl1SdWsnINkftT78L1gYk6hc22_CYq-FSBteOian-PaMG8NnyYlXxQDF3QCyIoTW7GZMZ4zU6fMX5tntTrRRN1uaeDGNEc4/s320/pic4.jpg" border="0" /></a><br /><br /><span style="color:#993399;">อ. ปณิธิ</span> : สวัสดีครับ ที่นั่งข้างๆ ผมคือ รศ. วัลยา วิวัฒน์ศร อาจารย์สอนภาษาฝรั่งเศสที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้เชี่ยวชาญมากที่สุดในตอนนี้ มีผลงานแปลวรรณกรรมมากมายหลากหลาย วันนี้ผมยินดีจะคุยกับอาจารย์เรื่องการรำลึกถึงฌาคส์ เพรแวรต์ ในบรรดานักประพันธ์โดยเฉพาะกวีของฝรั่งเศส ถ้าถามว่านิสิตจำชื่อใครได้มากที่สุด ที่ติดอันดับหนึ่งในห้าคือฌาคส์ เพรแวรต์ เพราะงานของเขาเข้าใจไม่ยาก และพูดถึงเรื่องของนักเรียนมาก กวีที่ถูกใจนักเรียนคนนี้ กวีที่หลายโรงเรียนนำไปตั้งชื่อโรงเรียน เป็นกวีที่ออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 14 ผลงานที่เด็กๆ ชอบส่วนใหญ่ว่าด้วยอิสรภาพและจินตนาการของนักเรียน เป็นอิสรภาพที่จะไม่พบในชั้นเรียน อาจเป็นเหตุผลให้เด็กๆ ชอบ อ. วัลยาชอบด้วยเหตุผลนี้หรือเปล่าครับจึงแปล<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : นิสิตอักษรทุกคนรู้จักเพรแวรต์ ในชั้นเรียนจะเรียนบทกวีของเพรแวรต์ เขาใช้คำพูดง่ายๆ ถ้อยคำเรียบง่าย แต่เป็นการทำงานอย่างฉลาดของกวี เพื่อให้ภาษาติดปากผู้อ่าน เมื่อสองสามปีที่แล้วไปเจอหนังสือปกแข็ง เป็นงานรวมเล่ม La Pleiade ซึ่งสำนักพิมพ์กัลลิมารด์นี้จะพิมพ์แต่ผลงานมีชื่อเสียงเท่านั้น ดิฉันชอบ 2 เรื่องนี้ เพรแวรต์จะทำงานร่วมกับนักเขียนภาพประกอบ อ่านแล้วชอบทั้งเนื้อหาและภาพประกอบ เก็บไว้ว่าวันหนึ่งเมื่อมีเวลาจะแปลงานของเพรแวรต์ เมื่อคุณชาร์กอนเนต์อยากพิมพ์งาน 2 ภาษาก็นึกถึงเพรแวรต์ทันที เพราะสองเรื่องนี้เป็นภาษาฝรั่งเศสที่ไพเราะ</p><br /><p><span style="color:#993399;">อ. ปณิธิ</span> : ที่จริงแล้วผมไม่ได้อ่านหนังสือ แต่ได้อ่านต้นฉบับ ฉบับภาษาฝรั่งเศสไม่สวยอย่างของอาจารย์นะฮะ (โชว์ต้นฉบับที่ถ่ายเอกสารมา) ด้อยไปทุกอย่าง แต่แม้จะอ่านฉบับจากเครื่องถ่ายเอกสาร ไม่ได้ประณีต แต่ขอระบายความรู้สึกส่วนตัวในฐานะคนอ่าน ผมชอบเพรแวรต์ก็ชอบตามแฟชั่น เพราะอ่านง่าย เพรแวรต์เป็นกวีที่ใช้ภาษาจากชีวิตประจำวัน หลายคนบอกว่าเป็นกวีที่เกิดในท้องถนน กวีของท้องถนน สำหรับผมที่เคยอยู่ในฝรั่งเศส อยู่ในแหล่งเสื่อมโทรมของกรุงปารีส ผมอ่านแล้วรู้สึกว่าภาษาชาวบ้าน เพรแวรต์เป็นคนเดินถนนในปารีส ซอกซอนไปตามย่านเก่าๆ ของปารีส นี่อาจเป็นเหตุผลที่เพรแวรต์เป็นกวีที่ผมติดใจ ผมไม่มีโอกาสไปย่านเก่าๆ ของปารีส จะผิดกันก็ตรงนั้น ถึงผมจะไม่มีต้นฉบับสวยๆ แต่โดยชื่อ ชเลจร รู้สึกว่าโดยชื่อก็สามารถทำให้จินตนาการของเราออกไปกว้างขวาง ไม่ใช่กว้างขวางธรรมดาแต่เป็นกว้างขวางและรื่นรมย์ ชื่อ 'เกาะ' ทำให้คิดอะไรมากมาย ไม่ทราบว่าเพราะเหตุนี้หรือเปล่า อาจารย์ถึงเลือกมาแปล<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา </span>: ชื่อเรื่องก็เป็นสิ่งจูงใจ Baladar เป็นคำที่เพรแวรต์คิดขึ้นมา ต้องมาหาว่าทำไมต้องใช้ Baladar เกาะนี้ไม่ปรากฏในแผนที่ จะปรากฏตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง ชาวเรือ <span style="color:#000066;">"เรียกเกาะเหล่านี้ว่า หมู่เกาะชเลจร ทั้งนี้เพราะเกาะเหล่านี้ไม่เคยอยู่กับที่ แล้วยังชอบเขียนชื่อของมันไว้ตรงนั้นตรงนี้บนแผนที่เดินเรืออีกด้วย"</span> Baladar เหมือนคำกริยาภาษาฝรั่งเศส แปลว่าเดินเล่น บวกกับคำนามที่หมายถึงบทกวีดนตรีของพวกวณิพก ดังนั้นเสียงก่อให้เกิดความหมาย ทำให้จินตนาการไปได้ มีจดหมายจากหมู่เกาะนี้ พวกเขาทำอะไรกัน อยากพูดถึงการแปลชื่อเรื่อง ปกติการแปลชื่อเฉพาะเราจะไม่แปลความหมาย จะถ่ายเสียงชื่อ เป็นจดหมายจากหมู่เกาะบาลาดาร์ จึงนึกว่าต้องแปลชื่อเฉพาะหรือ ตัวบทมีชื่อเกาะต่างๆ ถ้าถ่ายแต่เสียงจะไม่มีความหมาย จึงต้องแปลชื่อเฉพาะ คิดว่าบาลาดาร์จะใช้ชื่ออะไรดี ก็นึกถึง วนัสจร คือผู้ท่องไปในป่าหรือนายพราน จะเก็บคำว่า จร ถ้าภาษากวีน่าจะเป็นชเลจร หมู่เกาะต่างๆ ในเรื่องจึงแปลมีเช่น หมู่เกาะต้องใจ เกาะนอกสารบบ เกาะปัจจุบันทันด่วน เกาะนิรนาม หมู่เกาะคุมเชิง หมู่เกาะขี้ระแวง หมู่เกาะพึงยำเกรง หมู่เกาะผลุบโผล่ หมู่เกาะคุ้มดีคุ้มร้าย หมู่เกาะดุดัน หมู่เกาะลอยเลื่อน หมู่เกาะดั้งเดิม หมู่เกาะเซื่องซื่อ หมู่เกาะพักผ่อน หมู่เกาะในฝัน หมู่เกาะจริงใจ ซึ่งเป็นชื่อที่นักเดินเรือตั้งให้หมู่เกาะนี้ การแปลต้องแปลให้คนที่ไม่รู้ภาษาฝรั่งเศสเข้าใจความหมาย จึงต้องใช้การแปลวิธีใหม่ ดังนั้นวิธีการแปลต้องอยู่ที่บริบทด้วย<br />เรื่องนี้ใช้ภาษากวีที่ไพเราะ มีการเสียดสีประชดประชันตามลักษณะคนฝรั่งเศส เนื้อหาที่ซ่อนไว้ในนิทานคือต่อต้านการล่าอาณานิคม ฝรั่งเศสเป็นประเทศล่าอาณานิคม พอๆ กับอังกฤษในศตวรรษ 19-20 เมื่อสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เพรแวรต์เหมือนคนฝรั่งเศสจำนวนมาก ที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายการล่าอาณานิคม ในฐานะนักคิดนักเขียนเขาจึงเขียนนิทานเพื่อต่อต้านการล่าอาณานิคม<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. ปณิธิ</span> : ฟังดูเข้มแข็งบึกบึนนะครับ แต่ผมเข้าใจว่าวิธีการเสนอปัญหาไม่ได้ทำให้อ่านหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่อ่านอารมณ์ดีและจริงใจ ผมรู้สึกว่าเพรแวรต์ใช้ภาษาประจำวันก็จริง แต่เสน่ห์คือถ้อยคำที่ใช้ทำให้เรารู้สึกแปลก อัศจรรย์แปลกๆ อารมณ์ดี ผมฟังนักเรียนซ้อมอ่านบทกวี (โรงอุปรากรแห่งดวงจันทร์) ผมก็รู้สึกอย่างนั้น เช่นนักเรียนท่องว่า แสงสว่างของโลก แทนที่จะเป็นแสงสว่างของดวงจันทร์อย่างที่เรามักได้ยิน หรือคำว่า ราคาประหยัด ที่กลายเป็น ราคาแห่งดวงดาว ความหมายแตกต่างกันมาก นี่คือความเล็กๆ น้อยๆ ที่จะเห็นในงาน หมู่เกาะก็ชวนฝันอยู่แล้ว แต่เกาะที่ไม่อยู่กับที่ช่างเป็นภาพงดงาม ความอัศจรรย์ไม่ได้เจอได้แต่ในแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ แต่เจอได้ที่นี่ เป็นเสน่ห์เล็กๆ น้อยๆ เป็นการสร้างสรรค์ อาจารย์บอกว่างานพูดถึงปัญหาการล่าอาณานิคม เพรแวรต์เกิดปี 1900 เกิดพร้อมศตวรรตที่ 20 เขาผ่านเหตุการณ์สำคัญๆ ของศตวรรษที่ 20 ไม่ว่าจะยุคแห่งความสวยงามหรือสงครามโลก กระทั่งยุคล่าอาณานิคม แนวคิดอยางนี้สำหรับคนเอเชียอย่างเรา เราเป็นฝ่ายถูกล่า เวลาพูดถึงการล่าอาณานิคมจะเป็นปัญหาใหญ่หนัก เศร้าหมองเคร่งเครียด แต่ผมเข้าใจว่าอ่านงานของเพรแวรต์จะไม่รู้สึกอย่างนั้น<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : ไม่เลยค่ะ เพรแวรต์เล่นคำมีเสน่ห์อย่างที่ อ. ปณิธิว่าไว้ เขาเล่นกับสี นกแก้วสีน้ำเงิน หรือแดง หรือขาว นี่คือสีธงชาติฝรั่งเศส นกแก้วคือตัวแทนประเทศฝรั่งเศส พอคนไทยอ่าน สีธงชาติไทยก็เหมือนกัน แต่เราเป็นผู้ถูกล่า มีหลายอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าเพรแวรต์เขียนในปี 1952 เพราะหลายตอนตรงกับสิ่งที่เกิดในบ้านเราปัจจุบัน<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. ปณิธิ </span>: เกาะมีนกแก้วสีต่างๆ มาบอกข่าว คนไม่สนใจ เพราะข่าวซ้ำๆ ว่าด้วยสงครามและเงินตรา<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : สงครามและเงินตราคือสิ่งที่เพรแวรต์ไม่เห็นด้วย มองว่าผู้คนให้คุณค่ากับเงินมากไป<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. ปณิธิ</span> : พอมีคนมาขายข่าว มีชายชราเอาหนังสือพิมพ์มาขาย ผมไม่ทราบว่าอาจารย์แปลเพราะถูกกดดันจากสถานการณ์ปัจจุบันหรือไม่ เนื้อความว่า "ข่าวจากมหาทวีป ขอรับ ข่าวโคมลอย ขอรับ ข่าวสมานฉันท์ ขอรับ"<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : ไม่ค่ะ ดิฉันแปลตรง โคมลอยคือเชื่อไม่ได้ ทุกประเทศปล่อยข่าวเพื่อทำลายกันและกัน และพร้อมประนีประนอม ธรรมชาตินักการเมืองประเทศไหนก็เหมือนกัน เราเห็นข่าวบ้านเรา ส.ส. พรรคหนึ่งเล่นงานอีกพรรค อีกพักเรื่องจะเงียบไป เพราะต่างแฉกันและกันได้ นี่คือสมานฉันท์ในแง่การเมือง ชื่อหนังสือพิมพ์ เสียงก้องจากถ้ำและจากค่ายโจร เป็นตัวแทนมหาทวีป คือทุกประเทศที่ล่าอาณานิคม คือประเทศที่ทำสงคราม เห็นเงินตราเป็นใหญ่ เอาแรงงานทาส ทรัพยากร ทองคำ โลหะมีค่ามาเป็นของตัว วิธีนำเสนอของเพรแวรต์จึงอ่านสบาย<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. ปณิธิ</span> : ของความต่อมาเป็นข้อความลักษณะเฉพาะของเพรแวรต์ ทำให้เรายิ้ม แต่แสบๆ คันๆ เขาว่า ชายชราขายหนังสือพิมพ์ <span style="color:#333399;">"รู้ดีว่า ผู้อยู่อาศัยบนเกาะนี้ไม่อ่านสิ่งตีพิมพ์ใดๆ แต่ทุกปีเมื่อเขามาขาย ชาวเกาะจะซื้อหนังสือพิมพ์ของเขาทั้งหมด ไม่เคยถามว่าเป็นฉบับวันที่ใดหรือปีใด ทั้งนี้เพื่อจุนเจือเขา"</span> ผมว่านี่คือการสมานฉันท์อย่างดี ซื้อไปไม่ได้อ่านข่าว แต่เพื่อช่วย ถ้อยคำนี้เหมือนซื่อๆ แต่กระทบใจคนได้<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : ต่อนะคะ <span style="color:#333399;">"ชาวเกาะไม่เคยใช้เงิน จึงจ่ายด้วยปลารมควัน ยาเส้น กล้วย แยมดอกกุหลาบ ส้ม สร้อยคอเปลือกหอย แล้วชายชราก็จะจากไป หัวใจเปี่ยมสุข"</span> ชาวเกาะอยู่ด้วยสิ่งที่เขาเพาะปลูกเอง ทำเอง และจุนเจือผู้อื่น<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. ปณิธิ</span> : ตัวเองมีความสุขไม่พอนะฮะ แล้วเพรแวรต์เสนอประเด็นอะไรในการล่าอาณานิคม<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : พูดถึงเกาะเล็กที่สุดในหมู่เกาะชเลจร ชาวเมืองไม่รู้ว่ามีทองคำ จึงตั้งชื่อว่าเกาะที่ไม่สำคัญแต่อย่างใด เกาะเล็กไร้สิ่งใดทั้งสิ้น มหาทวีปฆ่านกยูงเอามาทำหุ่นฟาง นกยูงเปรียบเหมือนประเทศเล็กๆ ไม่มีพิษสง ชาวมหาทวีปเอาหุ่นฟางมาขายเกาะ ชาวเกาะไม่สนใจ ชาวมหาทวีปเห็นที่โกยผงทำด้วยทอง เบ็ดทำด้วยทอง แสดงว่าเกาะนี้มีทองแต่ชาวเกาะไม่เห็นคุณค่า ก็เลยจะมาขุดทอง ... มันจะกลายเป็นเล่าเรื่องไป<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. ปณิธิ</span> : ฮะ ไม่ต้องเล่าก็ได้ ภาพต่างๆ ที่เสนอจะมีการใช้อำนาจ อาวุธเข้าข่มขู่ ด้วยถ้อยคำธรรมดาๆ ถ้าอ่านดูจะตื่นเต้นเหมือนกัน หรือผมตื่นเต้นง่ายเกินไปหรือเปล่าไม่ทราบนะฮะ อ่านเพรแวรต์แล้วเทียบกับชาวเกาะที่มีชีวิตกับธรรมชาติ เทียบกับเมืองที่กัดกินกันเอง คนถูกฆ่า ถูกลงโทษ เพราะเอาข่าวที่สงวนไว้กับคนกลุ่มหนึ่งไปขาย ภาพที่เรานึกตามเพรแวรต์ถึงพวกที่พยุหยาตราไปเกาะ ก็เหมือนสิ่งชั่วร้าย สัตว์ประหลาด เข้าไปเหยียบย่ำสิ่งสวยงามที่เพรแวรต์สร้างไว้ตั้งแต่ต้น เพรแวรต์สามารถทำให้ตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าความงาม ความน่าเอ็นดู จะไม่มีอยู่อีกแล้ว จะถูกทำลายโดยสิ่งน่าเกลียดน่ากลัวมากที่สุด อาจารย์คิดว่าเพรแวรต์อยากบอกอะไรกับเราอีกใน จดหมายจากหมู่เกาะชเลจร<br /><br /></p><p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjTKUhZNK9IsyK7oayU6FFIM0HcBjCU50_5CSSDMyLWsHK5GJJj4SrcMYuZZLhg1xRFtDTfehYKwRa7DpK5TZ5P015K49hPSoOHGfI44xGFqwWkDl5QwDmzQCa9Zhk6NqArcZvq_hXMw9M/s1600-h/pic5.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5052492186031339826" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjTKUhZNK9IsyK7oayU6FFIM0HcBjCU50_5CSSDMyLWsHK5GJJj4SrcMYuZZLhg1xRFtDTfehYKwRa7DpK5TZ5P015K49hPSoOHGfI44xGFqwWkDl5QwDmzQCa9Zhk6NqArcZvq_hXMw9M/s320/pic5.jpg" border="0" /></a><br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : ตอนต้นจะบรรยายชีวิตชาวเกาะ เป็นวงจรชีวิตที่สนุกสนาน สงบสุข ชาวเกาะจับปลาทูน่าไปแสดงคอนเสิร์ต ทูน่าที่ร้องเพลงเพราะจะถูกโยนกลับลงทะเล ตัวที่ร้องไม่เพราะจะถูกกิน หนังสือบอกว่า<br /><span style="color:#333399;">"เรื่องนี้พวกปลาทูน่าคงไม่ชอบนัก ก็นับว่าโชคดีแหละ เพราะเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นครั้งเดียวในชีวิต<br />บางครั้งชาวเกาะก็หล่นจากเรือหาปลา หล่นลงไปไม่ทันไร ฝูงปลาฉลามหิวโหยว่ายมาถึง<br />ชาวเกาะคนนั้นไม่เคยพูดว่า "นี่เป็นเรื่องที่เกิดแก่ข้าคนเดียวเท่านั้น" เขารู้ว่านี่เป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นแก่ทุกคน ครั้งหนึ่ง ชาวเกาะอีกคนตกจากต้นมะพร้าวสูงลิ่ว หัวทิ่มกระแทกพื้นดินแห้งแข็ง ถึงแก่ความตาย คนอื่นๆ พูดว่า "เขาถูกลูกมะพร้าวกิน!"</span><br />ทำให้เห็นวงจรชีวิตว่าธรรมชาติเป็นประโยชน์ต่อเรา และทำร้ายเราได้ แต่มหาทวีปนั้น คนทำร้ายคน<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. ปณิธิ</span> : เราเกื้อกูลกันตลอดเวลา ไม่ได้ทำร้ายกัน ในการกินอาหารนั้น สิ่งมีชีวิตเกื้อกูลเรา แต่เราเกื้อกูลสิ่งมีชีวิตอื่นเช่นกัน<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : หนังสือบรรยายว่าความสุขเดินเล่นอยู่บนเกาะเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง เมืองหลวงของมหาทวีปชื่อ 'ฆ่า-ฆ่า-นกยูง-นกยูง' ตรงข้ามกับเกาะ ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่เพรแวรต์เขียนปี 1952 จะตรงกับเหตุการณ์ปัจจุบันในไทย พออ่านประโยค <span style="color:#333399;">"สะพานใหญ่นั้นแม้จะผ่านพิธีเปิดใหญ่โตมโหฬารแล้ว ก็ยังอยู่ในขั้นใกล้ก่อสร้างแล้วเสร็จเท่านั้น และยังจำเป็นต้องทำให้เสร็จสมบูรณ์อีกทั้งสะพาน"</span> เพรแวรต์รู้หรือว่าธงชาติไทยและธงชาติฝรั่งเศสสีเหมือนกัน<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. ปณิธิ</span> : สุวรรณภูมิ พอดีผมดูซิตคอมนะฮะ ไม่ได้เอ่ยถึงใคร เขาบอกว่า แต่งตัวเฉิดฉันท์สุวรรณภูมิ เรื่องนี้แปลยากไหมครับ เป็นร้อยแก้วที่เป็นร้อยกรอง กลอนเปล่ามีสัมผัสนอก สัมผัสใน ในภาษาฝรั่งเศส อาจารย์ถ่ายทอดยากไหมครับ<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. ว้ลยา</span> : ถ้าแปลเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกคงยาก คงหยุดแปล แต่อาศัยว่าเคยแปลเรื่องยากๆ มาแล้ว ก็ยังดีใจว่าถ้าไม่มีประสบการณ์การแปลมามากพอ เราคงต้องร้องไห้ ดังนั้นถ้าถามว่ายากไหม ถ้าเป็นแต่ก่อนคงบอกว่ายาก ส่วนตอนนี้บอกว่าไม่ง่าย แต่สนุก พยายามหาคำเทียบกับต้นฉบับ เช่น ขณะที่ผู้ปกครองมหาทวีปหนีจากเกาะ เขานำรูปหล่อตัวเองบนหลังม้า เป็นรูปหล่อทองคำพาหนีไปด้วย เมื่อข้ามสะพาน สะพานก็โงนเงน เพราะยังสร้างไม่เสร็จดี แถมคนงานพากันถอดสลักเกลียว นำกลับไปเป็นที่ระลึกและค่าชดเชย สะพานจึงพัง มีประโยคว่า<br /><br /><span style="color:#333399;">"เมื่อนายพลเจ้าภาษีประสงค์จะห้อม้าทองคำสูงส่งของเขา<br /></span><span style="color:#333399;">ตามกองทัพบนสะพานให้ทัน<br />ก็มิต่างจากการให้สัญญาณ<br />ทำลายสะพานทั้งสะพานด้วยตนเอง<br /><br />ทองคำย่อมหนักกว่าน้ำ<br />และบางครั้งเหล็กกล้าก็เปราะบางกว่าสายลม<br />พลันสายน้ำเค็มและเศษเหล็กแท่งเหล็กพร่างพรายประหนึ่งพลุ</span></p><p><span style="color:#333399;">แล้วม้าทองคำตัวใหญ่<br />กับสะพานเหล็กกล้าสูงใหญ่<br />ก็หายวับไปกับตาใต้เกลียวคลื่น"</span><br /><br />นี่เป็นประโยคยากที่สุดในการแปล ดิฉันพยายามทำให้ต้นฉบับและภาษาไทยมีความยาวใกล้เคียงกัน ลองนึกภาพสะพานเหล็กที่สูง พังลง ตกในน้ำ น้ำกระเด็นขึ้นมา นี่คือความเปรียบที่เพรแวรต์เขียนไว้ คิดว่าแปลอย่างไรจะใช้คำไม่เกิน ได้ภาพเดิม<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. ปณิธิ</span> : ผมไม่มีหนังสือ หนังสือที่อาจารย์มีในมือ เพรแวรต์เป็นคนเขียนและมีคนวาดรูปเป็นคนอื่น ผมกำลังคิดถึงศัพท์คำหนึ่งที่เราใช้ คือเท็กซ์กับภาพประกอบเป็นอันหนึ่งเดียวกัน แยกจากกันไม่ออก เหมือน เจ้าชายน้อย นี่เป็นลักษณะเดียวกันใช่ไหมครับ<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : ใช่ค่ะ โดยเฉพาะ โรงอุปรากรแห่งดวงจันทร์<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. ปณิธิ</span> : ฉบับแปลใช้รูปจากเขา<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : ใช่ค่ะ ผีเสื้อพอเห็นก็คิดว่าควรใช้รูปเขา ไม่จำเป็นต้องวาดใหม่ หนังสือบางเล่ม เช่น นิทานข้างถนน สำนักพิมพ์ผีเสื้อวาดรูปเอง ซึ่งได้รับคำชมจากประเทศฝรั่งเศสว่าสำนักพิมพ์ไทยวาดภาพสวยกว่าของฝรั่งเศส ผีเสื้อมีจิตรกรฝีมือดี<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. ปณิธิ</span> : อาจารย์มีอะไรจะแนะนำอีกไหมครับ<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : ถึงตอนจบ ชาวเกาะไม่ยอม ลุกมาต่อสู้ ไม่ยอมเป็นเมืองขึ้น หาทางขับไล่คนเหล่านี้ออกไป คนจากมหาทวีปทิ้งข้าวของไว้ เจอเครื่องฉายหนัง ก็เห็นแต่ข่าวสวนสนาม รู้สึกใช้ไม่ได้ ก็โยนทิ้งทะเล ชาวเกาะจึงฉายหนังของตนเอง ใช้จินตนาการเล่าเรื่องราวของตัวเอง เรื่องการทิ้งข้าวของจากมหาทวีปนั้น เพรแวรต์บอกว่าเราไม่ควรรับอารยธรรมของชาติที่มาครอบครองเรา แต่ควรรักษาวัฒนธรรมเดิมของเรา ต่อมามีการตั้งชื่อเกาะใหม่ว่า เกาะใหม่แสนสุข แต่บางคนก็พอใจเรียกว่า "เกาะเหมือนเดิม" นั่นคือตอนจบ<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. ปณิธิ</span> : ขอจบรายการตรงนี้ อยากเรียนท่านผู้ฟังว่าข้อสรุปผมคงไม่ต่างจากอาจารย์วัลยา เมื่ออ่านตอนต้นจะรู้สึกว่าเพรแวรต์พยายามบอกว่าธาตุแท้ของมนุษย์นั้น มีความดี เป็นสิ่งมีชีวิตใสสะอาด บริสุทธิ์ อ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักมีชึวิตกับสิ่งแวดล้อมอย่างมีสัมพันธภาพอย่างดี ความชั่วทั้งหลายเป็นสิ่งที่ผ่านมาทำลาย ความชั่วนั้นมีความโลภ ฉ้อฉล แต่ลองอ่านหนังสือดู ขณะเพลิดเพลินกับภาษาของเพรแวรต์ ถึงตอนจบ ตราบใดที่เราไม่ยอมรับอำนาจ ความชั่วไม่ควรเอาชนะเราได้ ความชั่วไม่ควรเอาชนะความดีงาม ความบริสุทธิ์ได้ ถ้าไม่ยอมรับอำนาจความชั่ว ไม่ยอมรับว่ามีอำนาจเหนือเรา เราจะอยู่ในหมู่เกาะเหมือนเดิมได้<br /></p><p align="center">* * *<br /></p><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjnK7X0gZoZOp-X_s0ZyMOvFA59k2wacG3gtxoy0s704PoSkhkkwErqqi7DcUitm7eiEzseJ6a9lbJCIb1qPnSVBLYxoRT9G3cwTDc5ds-WHEfIvJhuhClgQkUINoSReHVI0o-8PIdrJk0/s1600-h/pic1.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5052489913993640194" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjnK7X0gZoZOp-X_s0ZyMOvFA59k2wacG3gtxoy0s704PoSkhkkwErqqi7DcUitm7eiEzseJ6a9lbJCIb1qPnSVBLYxoRT9G3cwTDc5ds-WHEfIvJhuhClgQkUINoSReHVI0o-8PIdrJk0/s320/pic1.jpg" border="0" /></a><br /><br /><p>หลังจากนั้นเป็นการพักน้ำชา และเป็นการอ่านบทนิพนธ์เรื่องโรงอุปรากรแห่งดวงจันทร์ โดยนิสิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าอยากบอกว่าน้องๆ นิสิตเหล่านี้เก่งน่าทึ่งมากๆ นี่เป็นการอ่านบทนิพนธ์ที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง เห็นได้ว่าน้องๆ เตรียมตัวฝึกซ้อมอย่างดี อ่านได้ไพเราะมาก เป็นการเล่าเรื่องทั้งสองภาษา ภาษาฝรั่งเศสและไทย ไพเราะทั้งน้ำเสียง ได้ทั้งความรื่นรมย์จากถ้อยคำกวีในเรื่อง ใครที่ได้ฟังคงประทับใจไม่ต่างกัน อดเสียดายแทนผู้ที่ไม่ได่ร่วมฟังว่าพลาดของดีเสียแล้ว<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgAnDd_xOwra8QHwONUI55dAp-425TeNepu_Vf1u3WuxemO00MV6NzRAavmTVuhXVwha0xpKTOhcFcUJwjVW_rw6T25JEs6xcukhIjKk1fNbz4jBIOc4HOAGfhyphenhyphennF_NknFsnRkQXlabl4g/s1600-h/pic2.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5052490090087299346" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgAnDd_xOwra8QHwONUI55dAp-425TeNepu_Vf1u3WuxemO00MV6NzRAavmTVuhXVwha0xpKTOhcFcUJwjVW_rw6T25JEs6xcukhIjKk1fNbz4jBIOc4HOAGfhyphenhyphennF_NknFsnRkQXlabl4g/s320/pic2.jpg" border="0" /></a><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiShOLL2dLSGukw-PGnXUG_LCKWXarqfCEr5mRWyoIkWDwd91uN0sbN7fA2nEkOfX4RSAeIjNCLE9VwNoJ1HR8ZlcIaM0AbwzKZLGO2WLn17kTEm1NGG84685KaurLU-Z3wJSNhqD2sd7g/s1600-h/pic3.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5052490244706122018" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiShOLL2dLSGukw-PGnXUG_LCKWXarqfCEr5mRWyoIkWDwd91uN0sbN7fA2nEkOfX4RSAeIjNCLE9VwNoJ1HR8ZlcIaM0AbwzKZLGO2WLn17kTEm1NGG84685KaurLU-Z3wJSNhqD2sd7g/s320/pic3.jpg" border="0" /></a><br /><br />ผู้สนใจหนังสือโปรดอดใจรอสักนิด หนังสือแสนเสน่ห์ 2 เล่มนี้จะวางแผงในอีกไม่ช้าไม่นานนี้<br /></p>Don de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-3730209939703745791.post-83596329302096531512007-04-04T17:47:00.001+07:002007-04-04T17:47:02.990+07:00ฌาคส์ เพรแวรต์ รำลึก<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh3CECrmYZqlOsW0qSvb99t4KZLDHIsfKQh-4EOldML-j8qu7dXTy38cxcTxl2gLCF3Dc5l7gaJcpmsgYQM8jp7Vg0c3nkUhcpRB0TrLSbjsO9tEMymgPtDkWR9Xtk9HcL2JnUdzYJeLyg/s1600-h/prevert1.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5049520261373399890" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh3CECrmYZqlOsW0qSvb99t4KZLDHIsfKQh-4EOldML-j8qu7dXTy38cxcTxl2gLCF3Dc5l7gaJcpmsgYQM8jp7Vg0c3nkUhcpRB0TrLSbjsO9tEMymgPtDkWR9Xtk9HcL2JnUdzYJeLyg/s320/prevert1.jpg" border="0" /></a><br />จันทร์ 9 เมษายน 2550 เวลา 14.00 - 17.00 น.<br />ห้อง meeting room 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์<br />(ลงทะเบียนเวลา 13.30 น.)<br /><br />สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย<br />คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสำนักพิมพ์ผีเสื้อ<br />ขอเรียนเชิญท่านเพื่อเป็นเกียรติในงาน 'ฌาคส์ เพรแวรต์ รำลึก'<br />และแนะนำหนังสือของนักเขียนผู้นี้<br /><br /><span style="color:#993399;">กำหนดการ</span><br />- พิธีเปิด : <span style="color:#663366;">ฌ็อง ชาร์กอนเนต์</span><br />- เสวนาเรื่อง จดหมายจากหมู่เกาะชเลจร : <span style="color:#663366;">วัลยา วิวัฒน์ศร, ปณิธิ หุ่นแสวง</span><br />- อ่านบทนิพนธ์เรื่อง โรงอุปรากรแห่งดวงจันทร์ : <span style="color:#663366;">นิสิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย</span><br />- ฉายภาพยนตร์ (บางส่วน) เรื่อง Daybreak<br />- พิธีปิดDon de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3730209939703745791.post-28118591655221121632007-03-15T01:04:00.001+07:002007-03-15T01:04:36.539+07:00การประมูล<span style="color:#993399;">รายงานโดย เจ้าหญิงมิโกมิโกน่า</span><br /><br />ข้าพเจ้าขอรายงานการประมูลข้าวของแสดงในงานนิทรรศการวันสุดท้าย เพื่อนำรายได้มอบให้หอสมุดแห่งชาติ เริ่มต้นการประมูลด้วยหนังสือดอนกิโฆเต้ฯ เล่มจิ๋ว ความสูงประมาณ 1 เซ็นติเมตรเท่านั้น เป็นหนังสือปกหนังน่ารักจริงๆ ข้างในมีเนื้อความภาษาสเปน แถมมีภาพประกอบด้วย ข้าพเจ้าตั้งใจจะขโมยจากตู้นิทรรศการเป็นหลายหน ยังไม่มีโอกาสทำสำเร็จก็ถูกประมูลไปเสียแล้ว ดูรูปได้จากหนังสือปกแดงข้างล่างนี้ น่ารักเสียจนอดใจไม่ไหว ใครต่อใครต่างพากันถามไถ่ว่าหนังสือเล่มนี้ข้างในเป็นอย่างไรนะ หนังสือถูกประมูลไปด้วยราคา 500 บาท<br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhmCXw0lhTUGMyQpUIlejyeSBXl_Wt5wl2qPcCDFS1UfNv13WDfaAOC_o5aL1JXBIhNXmtRGXaeQU77qWCMbvL442vfbhK8mHAiWPFKYU0ohV9F0Q4Ij013ZCw50PL5dkHKS42XYtEANiw/s1600-h/pic8_6.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5041771951679118978" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhmCXw0lhTUGMyQpUIlejyeSBXl_Wt5wl2qPcCDFS1UfNv13WDfaAOC_o5aL1JXBIhNXmtRGXaeQU77qWCMbvL442vfbhK8mHAiWPFKYU0ohV9F0Q4Ij013ZCw50PL5dkHKS42XYtEANiw/s320/pic8_6.jpg" border="0" /></a><br />ในรูปเดียวกันจะเห็นชุดแก้วน้ำ มี 3 แก้วคือแก้วน้ำใหญ่ 1 แก้ว และแก้วน้ำเล็กจิ๋ว 2 แก้ว (มีผู้อธิบายให้ข้าพเจ้าฟังว่าแก้วเล็กนั้นเอาไว้สำหรับกินเหล้าขาว) ข้าพเจ้าพยายามประมูลแข่ง แต่ไม่สำเร็จ ที่จริงอยากได้แต่แก้วใบใหญ่เท่านั้นเอง เนื่องจากคิดว่าแก้วใบเล็กจะไม่ได้ใช้ (ข้าพเจ้าเสพสารเสพติดชนิดอื่น) ราคาเริ่มต้นที่ 500 ประมูลไปได้ในราคา 1,600 บาท และน่าเจ็บใจไปกว่านั้น เพราะผู้ประมูลไปคือคนจากผีเสื้อนั่นเอง<br /><br />หากสังเกตผ้าสีดำลายขาวที่รองพื้นอยู่ นั่นคือเสื้อยืดดอนกิโฆเต้ มีผู้ประมูลไปในราคา 900 บาท<br /><br /><br /><br /><p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEihercnKIXas9mSwV-4LRLrtMaezuNL5UaNc6QUHnGtu4vYR5haCfDdOCZIBwVybGDbnCBlglbZ6sEIewPFw_EbP_OEdz4tQfOZrKyI6Vm443UYPlY1AlRcNBjh9T81zabAESMWr2mJ6r8/s1600-h/pic8_1.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5041773966018780818" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEihercnKIXas9mSwV-4LRLrtMaezuNL5UaNc6QUHnGtu4vYR5haCfDdOCZIBwVybGDbnCBlglbZ6sEIewPFw_EbP_OEdz4tQfOZrKyI6Vm443UYPlY1AlRcNBjh9T81zabAESMWr2mJ6r8/s320/pic8_1.jpg" border="0" /></a><br />สแตมป์น่ารักชุดนี้ประกอบด้วยชุดของดอนกิโฆเต้และซานโช่ ปันซ่า ชุดของซานโช่น่ารักที่สุดตรงรูปซานโช่กอดลาของตัวเองด้วยอาการรักใคร่จับใจ ชุดนี้ราคาประมูลเริ่มต้นที่ 3,000 บาท และมีผู้ได้ไปในราคา 4,500 บาท<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh-3JrasptEgMJ6LrlTzMkVw4tOfqYc78_17s-Hd-VOQwx2Fc7plP5CGz4W2vhpvpqpjagPyDXbUFffSaPVT7_lBU7zKrXMKsK5ETkENpXZDyurT1ZE3vwiAXDX-srvUbC6VVMghd1Fa5g/s1600-h/pic8_3.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5041774386925575842" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh-3JrasptEgMJ6LrlTzMkVw4tOfqYc78_17s-Hd-VOQwx2Fc7plP5CGz4W2vhpvpqpjagPyDXbUFffSaPVT7_lBU7zKrXMKsK5ETkENpXZDyurT1ZE3vwiAXDX-srvUbC6VVMghd1Fa5g/s320/pic8_3.jpg" border="0" /></a> ตุ๊กตาดอนกิโฆเต้และซานโช่คู่นี้ราคาเริ่มต้น 3,000 บาท ประมูลไปโดยคุณผกาวดีจากผีเสื้อในราคา 4,000 อันที่จริงขณะการประมูลดำเนินต่อไป ผู้ดำเนินรายการพยายามร้องห้ามคุณผกาวดีตลอดเวลาว่า อาจารย์ครับ หยุดได้แล้วครับ แต่ไม่เป็นผลอันใด<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhw-JmadYcgWoL6YZk1jdRFs1dFbdBgIo4xdolPqUlZ977F0tnb2dUNqswKQmfxe5TQ0jXkgjyaUTZ6DGrFMLUCSq84PsRdMmkGufuyO5cUFdPHcPhtKZH5zLWmZmtx0y3_-dVnljfZ2z4/s1600-h/pic8_2.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5041775104185114290" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhw-JmadYcgWoL6YZk1jdRFs1dFbdBgIo4xdolPqUlZ977F0tnb2dUNqswKQmfxe5TQ0jXkgjyaUTZ6DGrFMLUCSq84PsRdMmkGufuyO5cUFdPHcPhtKZH5zLWmZmtx0y3_-dVnljfZ2z4/s320/pic8_2.jpg" border="0" /></a><br />ตุ๊กตาโลหะดอนกิโฆเต้นั่งบนหนังสือ ราคาเริ่มต้น 4,500 บาท มีผู้ประมูลไปด้วยราคา 5,500 บาท<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEit_I7W5JAPVCvVEPkBkg4RvmwTa_HzsyiNBtcNl3ipv4zwHI4jS10AjUHfMhFuDAsXebNeXFsXwUC3pPOGUsMWIZSfj_b-MEH-6O-3x7Ff_-yC1ONg1UBSJ3U93Rls-tN3HTRkwfOvei8/s1600-h/pic8_5.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5041838974643773122" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEit_I7W5JAPVCvVEPkBkg4RvmwTa_HzsyiNBtcNl3ipv4zwHI4jS10AjUHfMhFuDAsXebNeXFsXwUC3pPOGUsMWIZSfj_b-MEH-6O-3x7Ff_-yC1ONg1UBSJ3U93Rls-tN3HTRkwfOvei8/s320/pic8_5.jpg" border="0" /></a> ในกล่องดำคือไพ่ทาโรต์ดอนกิโฆเต้ ราคาเริ่มต้น 1,500 บาท มีผู้ประมูลไปในราคา 5,000 บาท ส่วนที่วางข้างใต้คือโปสการ์ดต่างๆ โปสการ์ดชุด 16 แผ่น ราคาเริ่มต้น 600 บาท มีผู้ประมูลไปในราคา 2,100 บาท<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHXA06qIhHEMTAxbCjbOciU0lEMXQIi7UWnQEDNaIfUUTR9nvXS3_A6Krny2fMbNWDvIw8aV8RAkLhcjfIBPcbFII9qZeCUrCYsSwb7J3tcljTo4YtSyJa1gMTPe5g8u0GT9dxroUP8e8/s1600-h/pic8_4.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5041839588824096466" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHXA06qIhHEMTAxbCjbOciU0lEMXQIi7UWnQEDNaIfUUTR9nvXS3_A6Krny2fMbNWDvIw8aV8RAkLhcjfIBPcbFII9qZeCUrCYsSwb7J3tcljTo4YtSyJa1gMTPe5g8u0GT9dxroUP8e8/s320/pic8_4.jpg" border="0" /></a><br />มุมขวาบนของชั้นวางของแสดงนี้คือกระปุกพริกไทยและเกลือสีขาว มีลวดลายจากเรื่องดอนกิโฆเต้ฯ ราคาเริ่มต้น 1,500 บาท มีผู้ประมูลไปด้วยราคา 2,100 บาท<br /><br />ยังมีของประมูลอีกหลายอย่าง แต่ไม่ค่อยอยากเล่าเพราะเล่าแล้วอิจฉา</p><p>หลังจากงานครั้งนี้ ธรรมศาสตร์ติดต่อขอนำงานนิทรรศการดอนกิโฆเต้ฯ ไปจัดที่มหาวิทยาลัยในโอกาสหน้า ราวกลางปีนี้ หากเป็นไปได้ข้าพเจ้าอยากเห็นงานนิทรรศการครั้งนี้สัญจรไปทั่วเช่นกัน ดอนกิโฆเต้ของเราจะได้มีโอกาสได้บัตรมัคคุเทศก์ทั่วไปสักที </p>Don de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-3730209939703745791.post-86931093088785492952007-03-12T11:13:00.001+07:002007-03-12T11:13:26.839+07:00งานวันที่แปด วันสุดท้าย<span style="color:#993399;">รายงานโดย เจ้าหญิงมิโกมิโกน่า</span><br /><br />เริ่มงานวันนี้โดยการมอบเงินรายได้จากงานนี้ให้หอสมุดแห่งชาติ เป็นเงินทั้งสิ้นเท่าไรข้าพเจ้าจำไม่ได้ ประมาณหนี่งแสนกว่าบาท ที่จำไม่ได้เพราะมัวสนใจหมกมุ่นเรื่องอื่นอยู่ แต่จะเป็นเรื่องอะไรนั้นข้าพเจ้าไม่อาจบอกได้ (ขออภัยด้วยที่ข้าพเจ้าเป็นผู้รายงานข่าวที่แย่จริงๆ ปกติแล้วเคยชินกับชีวิตเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรมิโกมิก็อน มากกว่าเป็นนักข่าว) งานนี้มีการขายหนังสือดอนกิโฆเต้ฯ เพื่อนำรายได้มอบให้หอสมุดแห่งชาติ ผีเสื้อขายหนังสือได้เท่ากับจำนวนที่เซร์บันเตสกล่าวไว้ในเล่มสอง คือประมาณ 18,000 เล่ม<br /><br />ต่อมาเป็นการมอบของขวัญที่ระลึกให้ผู้เกี่ยวข้องในงาน ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่นักการจากหอสมุดแห่งชาติทุกท่านที่ช่วยเหลือร่วมมือในงานอย่างดียิ่ง รวมถึงน้องๆ นักศึกษาภาควิชาภาษาสเปนจากรามคำแหงทุกท่าน ที่ทั้งน่ารักและมาช่วยด้วยหัวใจเกินร้อย หลังจากนั้นเป็นการมอบเหรียญที่ระลึกดอนกิโฆเต้ฯ แก่ผู้ร่วมงาน<br /><br />จากนั้นเป็นการเสวนา 'ก่อนจะถึงดอนกิโฆเต้ฯ เล่มสอง ตอนจบ' โดย อ. สว่างวัน ไตรเจริญวิวัฒน์ ผู้แปล และ อ. วัลยา วิวัฒน์ศร<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : วันนี้เป็นการจัดงานวันที่ 8 ขอสรุปคร่าวๆ เรื่องการทำงานดอนกิโฆเต้ฯ ภาคแรก ก่อนแปลภาคแรก อ. สว่างวันศึกษาเอกสารวิชาการที่เกี่ยวข้อง อ่านหนังสือแปลเก่าๆ หลายเล่มเพื่อศึกษาภาษาไทยเก่า สะสมคลังคำก่อนแปล 2 ปี ได้รับอนุญาตให้ลางาน (สอนเพียง 1 วิชา) เป็นเวลา 1 ปีครึ่ง ตามคำขอของเอกอัครราชทูตสเปน อ. สว่างวันใช้เวลาตรวจแก้ต้นฉบับกับดิฉันครึ่งปี แล้วต้นฉบับไปอยู่กับผีเสื้อ ครึ่งปีแรกคุณมกุฏหาตัวตนเซร์บันเตสไม่เจอ อ่านแล้วมองไม่เห็นเซร์บันเตสเลย ดิฉันลืมว่าผู้เขียนคือใคร ถ้าหาตัวผู้เขียนไม่เจอ ไม่แน่ใจว่าพอไปตรวจแก้จะเข้าใจหนังสือได้อย่างไร จากประสบการณ์งานแปลอื่นๆ คุณมกุฏใช้เวลาไม่นาน อ่านเพียง 4-5 รอบก็เจอตัวผู้เขียนเจอแล้ว แต่ดอนกิโฆเต้นี่ 12 รอบ บางบทเป็น 100 รอบ จึงช้า ถ้าถึงภาค 2 เมื่อไรผู้แปลเรียนจบปริญญาเอก ทั้งดิฉันและคุณมกุฏคงไม่ต้องใช้เวลานาน ด้วยเข้าถึงนักประพันธ์ได้ดีขึ้น อ. สว่างวันเตรียมตัวอย่างไรบ้างสำหรับการแปลภาค 2<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. สว่างวัน</span> : ยังไม่มีโอกาสขอบคุณผีเสื้ออย่างเป็นทางการ มีแต่การทะเลาะกันอย่างไม่เป็นทางการหลายยก อยากขอขอบคุณทุกท่านในสำนักพิมพ์ ได้เดินทางไปบ้านเกิดเซร์บันเตส เห็นว่าหนังสือฉบับภาษาไทยจัดว่าสวยที่สุดฉบับหนึ่ง การเตรียมงานทั้งหมด เวลาทำภาค 1 ต้องอ่านภาค 2 ไปด้วย ปัจจุบันไปเรียนที่มาดริด มีวิชาวรรณคดีที่ดีมาก มีอาจารย์ปรมาจารย์ด้านเซร์บันเตสและงานประพันธ์ 2 ท่าน คนแรกมีวิธีการสอนที่แปลกมาก เก่งมาก เดินเข้ามาบอกว่าใครมีอะไรจะถามบ้าง อาจารย์ตอบได้ทุกอย่าง นักศึกษาต้องไปทำการบ้านมาว่าจะถามอะไร แม้คำถามว่าเซร์บันเตสเป็นเกย์หรือเปล่า เพราะเขาติดคุกนานตั้ง 5 ปี อาจารย์ตอบว่าไม่มีทาง เพราะอะไร เมื่อนักโทษหรือผู้เคยเป็นเชลยกลับสเปน ต้องรายงานตัวว่ามีชีวิตยังไง ฝักใฝ่ศาสนาอื่นหรือเปล่า ทุกคนไม่มีใครกล่าวถึงเซร์บันเตสในแง่ลบเลย ทุกคนบอกถึงความกล้าหาญ เสียสละ ความเป็นชายผู้ดีของเขา ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องเกย์ไม่เกย์ของเซร์บันเตส พออาจารย์ทราบว่าแปลดอนกิโฆเต้ฯ อยู่ อาจารย์ปวารณาตัวว่ามีข้อสงสัยให้ปรึกษาได้ทุกเมื่อ อาจารย์อีกท่านให้ไปอ่านหนังสือพันกว่าหน้า อ่านเดือนหนึ่งเต็มๆ เป็นหนังสือขายดีก่อนหน้าดอนกิโฆเต้ฯ คนสเปนบอกว่าเป็นหนึ่งในน้อยคนที่อ่านเล่มนี้ แต่หนังสือเล่มนี้ทำให้เข้าใจเซร์บันเตสลึกซึ้งขึ้น เซร์บันเตสบอกว่าหนังสือดีควรอ่านสนุก แต่เล่มนี้อ่านไม่สนุกเลย นี่เป็นวิธีเตรียมการอย่างหนึ่ง ได้รู้บริบทว่าวรรณกรรมสเปนยุคนั้นเป็นอย่างไร คือเซร์บันเตสเป็นนักวิจารณ์วรรณกรรมคนหนึ่ง<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : อาจารย์ได้ไปเรียนที่สเปน มีผู้เชี่ยวชาญบอกว่ายินดีช่วยเหลือ อาจารย์เคยตั้งคำถามถึงภาค 2 บ้างไหม<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. สว่างวัน</span> : ถามว่าองค์รวมเป็นอย่างไร เซร์บันเตสสร้างเขาวงกต 1 ลูก ปากทางเข้าง่าย เซร์บันเตสใช้คำศัพท์อ่านง่าย สละสลวย พอเหมาะควร ไม่ได้ใช้คำหรูๆ มาแทรก แต่พอเดินเข้าไปข้างใน อ่านแล้วมีอะไรให้เราต้องคิดสลับซับซ้อน เราต้องเข้าใจบริบททั้งหมดจึงจะสื่อความหมายได้หลายๆ ชั้น<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : ดอนกิโฆเต้ภาค 2 พิมพ์ห่างภาคแรก 10 ปี เซร์บันเตสมีชื่อเสียงในช่วง 10 ปีนั้น อยากให้อาจารย์พูดว่าทำไมต้องใช้เวลาถึง 10 ปี เราเห็นความแตกต่างของเทคนิคการเขียนหรือไม่ หรือตอนท้ายภาคแรกเซร์บันเตสเขียนว่ามีการจารึกของอัศวินต่างๆ ปราชญ์ต่างๆ บันทึกที่หลุมศพตัวละคร ทำไมเขาจบโดยมาจารึกให้คนเหล่านี้เสียชีวิตไปหมดแล้ว ทำไมภาค 2 จึงกลับมา<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. สว่างวัน</span> : 10 ปีเซร์บันเตสทำอะไร อันที่จริงน่าจะรวยแต่ไม่รวย เพราะอาภัพมาก เกิดมาจน เป็นทหารก็ไม่ดัง ติดคุกหลายครั้ง เป็นข้าราชการ ตอนแรกเขาไม่ค่อยชอบเขียนร้อยแก้ว สมัยนั้นนักประพันธ์มีฝีมือมีสตางค์ต้องเขียนบทละคร เซร์บันเตสมีฝีมือแต่ไม่ใช่ฝีมือตามขนบในยุคนั้น ทดลองเขียนแบบอื่น เขียนบทละครออกมา 8 เรื่อง ถือว่าเป็นละครสลับฉากดีที่สุดของสเปนในสมัยนั้น แต่ไม่มีใครเอาขึ้นแสดง เขาตัดพ้อไว้ในหนังสือ พอเขียนภาค 1 จบต่อภาค 2 เลย เขียนไปๆ ในยุคนั้นมีนักเขียนดีๆ เกิดขึ้นเยอะ เซร์บันเตสไปอ่านงานก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการของคนอื่น คิดว่าเรื่องแทรกทำให้โครงเรื่องหลักเสียไป จึงตัดใจยกออกจากภาค 2 ได้เป็นหนังสืออีกเล่ม เขียนไปๆ ไม่จบสักที ปี 1614 มีนักเขียนผู้หนึ่งอดรนทนไม่ได้ เขียนดอนกิโฆเต้ภาค 2 ต่อให้ ถือเป็นฉบับปลอม ปัจจุบันยังไม่ทราบว่าใครเขียน มีแต่นามปากกาและการสันนิษฐานไปต่างๆ ฉบับปลอมทำให้ดอนกิโฆเต้เป็นตัวตลก เซร์บันเตสเจ็บช้ำมาก ถ้าไม่มีฉบับปลอม เราอาจไม่ได้อ่านดอนกิโฆเต้ภาค 2<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : เล่มแรกมีการเดินทาง 2 ครั้ง มีเรื่องแทรก แล้วเล่ม 2 ?<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. สว่างวัน</span> : เล่ม 2 เดินทางครั้งเดียว เรื่องแทรกน้อยมาก แต่เรื่องแทรกเหล่านี้ถักทอเป็นผืนเดียวกับโครงเรื่องหลัก<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : ในเล่ม 2 ตัวละครในเรื่องแทรกออกมาเจอดอนกิโฆเต้และซานโช่ด้วยไหม<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. สว่างวัน</span> : เจอค่ะ ไม่มีเรื่องที่ตัดออกไปได้เลย<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : ดอนกิโฆเต้ฝันอยากได้ครอบครองอาณาจักร ซานโช่อยากได้ครอบครองดินแดนมีน้ำล้อมรอบ ความฟุ้งฝันนี้เป็นจริงไหม<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. สว่างวัน</span> : ได้ครอบครองดินแดน บาราตาเรีย (มาจาก บาราโต้ แปลว่าถูกๆ) ซานโช่ร่วมเดินทางกับดอนกิโฆเต้ เข้าไปอยู่ในปราสาทแห่งหนึ่ง เจอวังจริงของดยุคและดัทเชส ทั้งคู่เคยอ่านงานเขียนเล่มแรก รู้ว่าสองคนนี้อยากครอบครองดินแดน เลยให้ไปครอบครอง และสร้างเรื่องกลั่นแกล้งซานโช่ต่างๆ เป็นตลกที่ทำให้สงสารดอนกิโฆเต้และซานโช่ แต่ดอนกิโฆเต้ไม่ได้เป็นจักรพรรดิ ไม่ได้เป็นอัศวินเก่งที่สุดในโลก<br /><br />เซร์บันเตสสร้างตัวละคร 1 ตัวคือ เบเนงเฆลี มาโผล่ในภาคแรก บทที่ 9 เป็นศิลปะการประพันธ์อย่างหนึ่ง ภาค 2 เปลี่ยนวิธีดำเนินเรื่อง ตัวละครมาวิจารณ์งานในภาคแรก ตัวละครซานซอน การัสโก้ มาบอกซานโช่ว่ามีหนังสือที่เล่าเรื่องราวของเธอกับดอนกิโฆเต้ ซานโช่ฟังแล้วผึ่ง ถามว่าเป็นอย่างไร ซานซอนล้อเลียนซานโช่เล็กน้อย เขาว่าเธออย่างนั้นอย่างนี้ โดยเฉพาะเหรียญทองคำ 100 เอสกูโด้หายไปไหน ซานโช่แอบมุบมิบไป หรือทำไมลาหายไปหายมา เซร์บันเตสมีวิธีแก้ไขที่สนุกมาก เช่นเมื่อซานโช่ถูกซักไซ้จึงบอกให้เล่าเรื่องให้ฟัง พอซานโช่ได้ยินคำว่า ดอนญาดุลสิเนอา ซานโช่ว่าเรื่องนี้ไม่จริง เพราะตลอดการเดินทางไม่เคยเรียก ดอนญา เรียกแต่ว่าแม่หญิง เรื่องนี้จึงเป็นไปไม่ได้เลย สมัยนั้นเทคนิคการประพันธ์แบบนี้ไม่มี<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : ในเล่ม 2 ผู้ประพันธ์สร้างตัวละคร 2 ชุด คือดยุคและดัทเชส และซานซอน ดังนั้นตัวละครในเล่ม 1 ไม่ใช่ตัวละคร แต่เป็นชีวิตจริง 2 คน เป็นวีรกรรมลือลั่นรู้กันไปทั่ว เกิดขึ้นจริง ซานโช่มีตัวจริง เหมือนการเขียนซ้อนๆ ซึ่งในภาคแรกมี แต่น้อยกว่า<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. สว่างวัน</span> : ภาคแรกไม่ลึกลับเท่านี้ เขาเชื่อมั่นแล้วว่าศิลปะเขาไปถูกทาง<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : ตอนท้ายที่มีจารึกว่าตัวละครตายหมด แล้วภาค 2 เขาทำอย่างไร<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. สว่างวัน</span> : ตอนท้ายมีบทกลอน 10 กว่าหน้า เป็นบทกลอนสนุกมาก ตลกเสียส่วนใหญ่ จารึก ณ หลุมฝังศพดอนกิโฆเต้ เขาตายไปแล้ว (อ. วัลยาเสริมว่าจะเห็นว่าเขามีตัวตนจริง มีหลุมศพ) ใครย้อนไปก่อนหน้านั้น หนังสือบอกว่าแม้ผู้เรียบเรียงจะพยายามสืบเสาะหาเรื่องการออกผจญภัยครั้งที่ 3 ของดอนกิโฆเต้สักเท่าใด ก็ไม่ปรากฏพบ หนังสือบอกว่าการเดินทางครั้งที่ 3 ไปเมืองซาราโกซ่า การัสโก้บอกว่าตอนท้ายผู้เขียนสัญญาจะเขียนเล่ม 2 แต่หาต้นฉบับไม่พบ และไม่แน่ใจว่าจะเขียนไหม เพราะตามปกติภาค 2 จะไม่ดีเท่าภาคแรก แต่สุดท้ายไม่ได้เดินทางไปซาราโกซ่า เพราะฉบับปลอมไปซาราโกซ่า เซร์บันเตสแค้นใจเลยเปลี่ยนเส้นทาง<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : อ. สว่างวันบอกว่าหนังสืออ่านสนุก เราน่าจะลองอ่านให้ฟังว่าอารมณ์ขันที่ว่าเป็นอย่างไร ต่อไปนี้เป็นคำพูดระหว่างดอนกิโฆเต้และซานโช่ ดอนกิโฆเต้ฝากจดหมายรักให้ซานโช่นำไปมอบแก่ดุลสิเนอา ซานโช่ไม่ได้เอาไปให้ แต่บอกว่ามอบให้แล้ว ดอนกิโฆเต้ซักว่าแม่นางเป็นอย่างไรบ้าง โดยเริ่มถามว่า<br /><br /><blockquote><p><span style="color:#333399;">"เมื่อเจ้าไปถึง ราชินีแห่งความงามพิลาสทำสิ่งใดอยู่รึ ข้าเชื่อว่านางคงร้อยสร้อยไข่มุกหรือปักตราอัศวินด้วยดิ้นทองคำให้ผู้จงรักของนางอยู่"<br /><br />"หามิได้ขอรับ นางกำลังฝัดข้าวสาลีอยู่ที่ลานบ้าน"</span></p><p align="left"><span style="color:#333399;">"ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงแน่แก่ใจได้ทีเดียวว่า เมล็ดข้าวสาลีทั้งนั้นจักกลายเป็นไข่มุกยามต้องมือนาง เจ้าได้สังเกตหรือไม่ว่าข้าวสาลีดังว่านั้นเป็นสีขาวพิสุทธิ์หรือสีน้ำตาล"<br /><br />"สีแดงขอรับ"<br /><br />"ข้าประกันได้ทีเดียวว่าเมื่อเมล็ดข้าวผ่านมือนางแล้ว ย่อมกลายเป็นขนมปังข้าวสาลีขาวละมุน แลเมื่อเจ้ามอบสาส์นรักของข้าแด่นาง นางจุมพิตสาส์นนั้นหรือวางไว้เหนือหัวของนางหรือไม่ หรือมีอากัปกิริยาเช่นใด นางทำฉันใดบ้าง"<br /><br />"เมื่อข้าจะส่งจดหมายให้นั้น นางออกแรงฝัดข้าวเต็มกระด้งอยู่ นางจึงกล่าวว่า 'วางจดหมายไว้บนถุงแป้งนั้นเถิด เพื่อนเอ๋ย ข้ายังอ่านมิได้ถ้าไม่เป็นธุระข้าวในกระด้งให้เสร็จก่อน'"<br /><br />"ช่างชาญฉลาดเสียนี่กระไร นี้คงด้วยว่านางประสงค์จะอ่านและดื่มด่ำสาส์นรักของข้าช้าๆ แล้วอย่างไรอีกซานโช่ เมื่อทำงานอยู่นั้น นางกล่าวสิ่งใดแก่เจ้า ไต่ถามถึงข้าบ้างหรือไม่<br />แลเจ้าตอบว่ากระไร จงเล่าทุกถ้อยทุกคำให้ข้ารู้ถี่ถ้วนเถิด"<br /><br />"นางมิได้ถามสิ่งใด แต่ข้าเลช่าให้ฟังว่าท่านมาลำบากลำบนทรมานตนเพื่อนาง เปลือยร่างท่อนบน นอนกลางดิน ไม่ดื่มกินบนโต๊ะอาหาร ปล่อยให้หนวดเครารุงรัง ใช้ชีวิตในเทือกเขาแห่งนี้ดังสัตว์เถื่อนตัวหนึ่ง แลเฝ้าคร่ำครวญสาปแช่งโชคชะตาของตน"<br /><br />"ที่เจ้าพูดว่าข้าสาปแช่งโชคชะตาของตนนั้น เจ้ากล่าวผิด ตรงข้าม ข้านึกนิยมยินดีโชควาสนาของตนแลจักเป็นเช่นนี้ชั่วอายุขัยของข้า ด้วยว่าชะตาดลให้ข้าคู่ควรแก่การได้รักหญิงผู้สูงส่งเช่นแม่หญิงดุลสิเนอาแห่งโตโบโซ่"<br /><br />"สูงจริงแท้ขอรับ สูงกว่าข้าราวหนึ่งฝ่ามือเห็นจะได้"<br /><br />"เจ้ารู้ได้ฉันใด ซานโช่ เจ้าลองเทียบส่วนสูงของเจ้ากับนางกระนั้นหรือ"<br /><br />"ข้าเผอิญวัดดู ด้วยว่าเมื่อข้าช่วยนางขนถุงข้าวสาลีขึ้นหลังฬา ข้าเข้าใกล้นางจนสังเกตว่านางสูงกว่าข้าราวหนึ่งฝ่ามือ"<br /><br />"แม้ความข้อนี้จะเป็นจริง แต่นางก็เป็นกุลนารีผู้เพียบพร้อมคุณความดีสูงส่ง ว่าแต่ซานโช่ เจ้าคงไม่ปฏิเสธว่า เมื่อเจ้าเดินเคียงข้างนางนั้น เจ้าได้กลิ่นหอมกรุ่นกำจายของเครื่องหอม กลิ่นน้ำหอมชั้นเลิศที่ข้าเองก็มิรู้จักชื่อ หอมตรลบอบอวลดั่งหลุดเข้าไปในร้านขายถุงมือหนังชั้นดีใช่หรือไม่"<br /><br />"ข้าบอกได้เพียงว่า ข้าได้กลิ่นสาบๆ เยี่ยงบุรุษ คงด้วยเหตุงานหนัก เหงื่อออกเหนียวเหนอะหนะ"<br /><br />"มิใช่ดังนั้นหรอก เจ้าคงเป็นหวัด หรือว่าได้กลิ่นตัวเจ้าเองกระมัง ข้าแน่แก่ใจทีเดียวว่ากลิ่นกายนางเปรียบได้ดุจกลิ่นกุหลาบกลางดงหนาม ดอกลิลลี่กลางทุ่งกว้าง แลกลิ่นน้ำมันหอมระเหยกรุ่น"<br /><br />"คงดังนั้นแลขอรับ ข้าได้กลิ่นที่คิดว่าลอยจากร่างแม่หญิงดุลสิเนอาอยู่หลายครา ที่จริงคงระเหยมาจากตัวข้าเอง ไม่มีสิ่งใดต้องฉงนดอก ด้วยว่าปิศาจทุกตัวย่อมมีกลิ่นคล้ายคลึงกัน"<br /><br />"จากนั้น เมื่อฝัดข้าวสาลีเพื่อส่งไปโรงสีแล้ว นางทำเช่นไรยามอ่านสาส์นรัก"<br /><br />"จดหมายนั้นหรือ นางหาได้อ่านไม่ดอก นางบอกว่านางไม่รู้หนังสือ อ่านไม่ออกเขียนไม่เป็น<br />นางฉีกจดหมายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พลางแจงว่านางไม่ประสงค์จะให้ผู้ใดได้อ่านได้ฟัง<br />ด้วยเกรงว่าจะทำให้ความลับฉาวไปทั้งหมู่บ้าน นางบอกอีกว่า ให้เล่าเรื่งอความรักที่นายท่านมีต่อนาง แลการทรมานตนแปลกๆ ที่ท่านกระทำเพื่อนางก็พอแล้ว สุดท้าย นางกล่าวแก่ข้าว่าขอให้แจ้งนางท่านด้วยว่า นางฝากจูบมือท่าน แลใคร่พบหน้าท่านยิ่งกว่าจะเขียนจดหมายตอบ"<br /></span></p></blockquote><br /><br /><span style="color:#993399;"><p align="left">อ. วัลยา </span></p>: ในภาคแรกดุลสิเนอาไม่เคยปรากฏตัว นางปรากฏตัวในเล่ม 2 หรือไม่<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. สว่างวัน</span> : มีค่ะ มีฉากที่ดอนกิโฆเต้ไปถ้ำแล้วยืนยันว่าเจอดุลสิเนอา แต่ไม่มีคนอื่นรู้ว่าเจอหรือไม่เจอ <p align="left"><span style="color:#993399;">คำถามจากผู้ร่วมฟังเสวนา</span> : อ. สว่างวันจะแปลภาค 2 เมื่อเรียนจบปริญญาเอก จึงอยากทราบจะใช้เวลาเรียนประมาณกี่ปี เพื่อจะประมาณได้ว่าเมื่อไรเราจะได้อ่านภาค 2<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : ตอนนี้ อ. สว่างวันลงวิชาหมดแล้ว กำลังเขียนวิทยานิพนธ์ มีเวลาเรียน 5 ปี ตอนนี้ผ่านไปปีเศษ หัวข้อวิทยานิพนธ์คือเซร์บันเตสในบทประพันธ์ของมัสเอา ซึ่งเป็นนักเขียนร่วมสมัยกับเรา เสียชีวิตปี 1972<br />เขาได้รับอิทธิพลจากเซร์บันเตสเยอะ<br /><br /></p><p align="left"><hr /><br /><p></p><p align="left">หลังการเสวนาเป็นการประมูลข้าวของที่นำมาแสดงในงานนิทรรศการด้วยความสนุกสนานยิ่ง ทั้งสแตมป์ รูปปั้นหุ่นดอนกิโฆเต้ตัวเล็ก ตุ๊กตาดอนกิโฆเต้และซานโช่ ปันซ่า กระปุกพริกไทยเกลือ แก้วน้ำ ไพ่ โปสการ์ด มีการตัดราคาและเชือดเฉือนกันอย่างน่าติดตามยิ่ง </p><p align="left">ข้าพเจ้าเป็นนักข่าวที่เลวอีกเช่นเคย มิได้จดราคาไว้ หากใครอยากทราบขอให้แจ้งไว้ แล้วข้าพเจ้าจะมารายงานในภายภาคหน้า</p><p align="left"> </p>Don de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3730209939703745791.post-24451336413022966692007-03-11T21:33:00.001+07:002007-03-11T21:33:38.865+07:00งานวันที่หก<span style="color:#993399;"></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjtaJpUtBlmZub1M4jvBw3QUDtn_deBeX_sdnV8jYbDgRcQOpfF0xDgSXEALVPcwR1aiZX2YVqEbKPHJLU2mhe3WTeNrNQ0XDqyMJ5Xd4FbsNgmW9aC6gdCARDmULjssEnxLjWt9lKvjKo/s1600-h/pic6_1.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5040672659094675058" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjtaJpUtBlmZub1M4jvBw3QUDtn_deBeX_sdnV8jYbDgRcQOpfF0xDgSXEALVPcwR1aiZX2YVqEbKPHJLU2mhe3WTeNrNQ0XDqyMJ5Xd4FbsNgmW9aC6gdCARDmULjssEnxLjWt9lKvjKo/s320/pic6_1.JPG" border="0" /></a><br /><span style="color:#993399;">รายงานโดย เจ้าหญิงมิโกมิโกน่า<br /></span><br />ข้าพเจ้าเคยบอกหรือยังว่า เปอะเปี๊ยะดอนฯ อร่อยมากแค่ไหน อร่อยจนติดใจและเสียดายจริงๆ ว่าบัดเดี๋ยวนี้หายสาบสูญไปเสียแล้ว คิดแล้วยังอยากกินอยู่ไม่วาย เซร์บันเตสคงส่งเปอะเปี๊ยะนั้นมาเพื่อผีเสื้อจริงๆ<br /><br />งานวันที่ห้า มีเสวนาเรื่อง 'ความประทับใจหนังสือดอนกิโฆเต้ฯ' โดย อ. คารินา โชติระวี อาจารย์ภาคภาษาอังกฤษ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, อ. สว่างวัน ไตรเจริญวิวัฒน์ ผู้แปล และคุณสุวัฒน์ หลีเหม<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. สว่างวัน</span> : ข่าวหนึ่งของ อ. คารินา โด่งดังถึงประเทศสเปน เมื่อแนะนำหนังสือดี 10 เล่มสำหรับท่านผู้นำประเทศ หนึ่งในนั้นคือดอนกิโฆเต้ฯ อยากให้เล่าว่า อ. คารินา ประทับใจอะไรในหนังสือเล่มนี้ จึงแนะนำ<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. คารินา</span> : ปีที่แล้ว อยากแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเทศ หลายเรื่องพูดถึงคุณธรรม จึงอาสาจะพูดหัวข้อนี้ มีเวลาเตรียมรายการหนังสือเพียง 24 ชั่วโมง นึกเรื่องที่ 10 ไม่ออก ได้เห็นโฆษณาหนังสือเล่มนี้ว่า "ในชั่วชีวิตหนึ่ง หากแม้นสวรรค์ทรงอนุญาตให้อ่านหนังสือได้เพียงเล่มเดียว จงเลือกเล่มนี้เถิด ชีวิตจักไม่ตายเปล่าแน่แท้"<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณสุวัฒน์</span> : ขึ้นเวทีเป็นครั้งที่ 3 ในฐานะผู้อ่าน วันนี้พูดหัวข้อความประทับใจ หนังสือเล่มนี้เปิดกว้างต่อการตีความ ความประทับใจเป็นเรื่องส่วนบุคคล อ่านแล้วได้ความสนุก ไม่ใช่อ่านแล้วขำอย่างเดียว สนุกคือที่ดูตั้งแต่ต้นจนจบแล้วมีความสุขกับมัน เป็นวรรณกรรมยุคใหม่ หนังสือเล่มนี้น่าจะให้อะไรมากกว่าความสนุกเพียงอย่างเดียว อย่าตั้งแง่ ควรเปิดใจกว้าง พอเห็นหนังสือเล่มนี้หนามาก หลายท่านอาจถอดใจแต่แรก หรือข้อมูลว่าหนังสือดีที่สุดในโลก อาจรู้สึกไม่น่าอ่าน แต่ให้อ่านเพื่อความสนุกสนาน การผจญภัยของดอนกิโฆเต้จะบอกว่าท่านจะได้รับอะไร เซร์บันเตสทำให้เราเห็นแง่งามของชีวิต มีด้านมืด ด้านสว่าง ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกมองด้านไหน<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. คารินา</span> : ความประทับใจต่อดอนกิโฆเต้ฯ นั้น เคยเรียนสมัยอยู่อักษรศาสตร์ เรียนโทวิชาภาษาสเปน ปัจจุบันลืมไปหมดแล้ว จำได้แต่ดอนกิโฆเต้ แต่ได้อ่านตอนที่สำคัญๆ บ้าง จำได้ว่าประทับใจวิธีการเสนอเรื่องและความสนุกสนาน ธีมจากดอนกิโฆเต้แฝงอยู่ในวรรณกรรมต่างๆ เช่นโฟล์กเนอร์ ฮักเกิลเบอร์รี่ฟินน์ เราทำงานแปลเอกสารต่างๆ ของศูนย์การแปล คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ วันหนึ่งเห็นเอกสารแปลกๆ อ. สว่างวันขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยพิมพ์จากลายมือต้นฉบับ ก็รู้สึกตื่นเต้น เหมือนได้เห็นตั้งแต่ยังไม่คลอด<br />สังคมเราให้ความสำคัญกับงานจากจินตนาการค่อนข้างน้อย การตีความที่ไม่มีคำตอบตายตัว ดอนกิโฆเต้เป็นตัวละครที่ไม่เคยมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วเป็นแค่นั้น ทุกอย่างมองมากไปกว่านั้น มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ได้ ตอนนี้เรามักมองทุกอย่างในเชิงฟังก์ชันว่าใช้ประโยชน์อย่างไร เห็นเรือนแรมเป็นปราสาท<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. สว่างวัน</span> : ดูหนังลอร์ดออฟเดอะริงส์ แล้วเห็นดอนกิโฆเต้กับซานโช่ โฟรโด้คือดอนกิโฆเต้ แซมอ้วนๆ ชอบกิน เก็บอาหารไปตลอดทางคือซานโช่<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. คารินา</span> : ตีความได้เยอะแยะมากมาย ตีความเชิงศาสนาได้ จะเจอดอนกิโฆเต้ในวรรณกรรมตะวันตกหลายเรื่อง มีตัวละครที่จำลองจากพระเยซู แม้กระทั่งดอนกิโฆเต้ก็เป็นลักษณะเปรียบพระเยซูอย่างหนึ่งได้ คนที่เพียรพยายาม เอาชนะสิ่งที่คนคิดว่าเอาชนะไม่ได้ เช่นความตาย ความบาป แต่ถูกคนรอบๆ ข้างตัวมองด้วยความเยาะเย้ย ถากถาง หัวเราะเยาะ บอกว่าตัวเองเป็นกษัตริย์ King of the Jews เซร์บันเตสพยายามเสนอภาพนี้หลายตอน มีอะไรที่แฝงนัยยะในไบเบิล ใกล้จบเล่ม 1 มีงานเลี้ยง มีคนมาร่วมรับประทาน 12 คน ภาพคล้าย The Last Supper ตอนดอนกิโฆเต้ผจญภัย ปลดปล่อยผู้เป็นทาส ผลการปลดปล่อย นอกจากไม่สำนึกยังเป็นอันตราย คล้ายๆ ที่พระเยซูเจอมา ทำตามสิ่งที่ตัวเองเชื่อว่าถูกต้อง ต้องบอบช้ำ ถูกอิฐเขวี้ยง แต่ดอนกิโฆเต้เชื่อในหลักอัศวิน พึงปราบภัยพาล พระเยซูเกิดมาไม่ใช่เฉพาะคนดี คนมั่งมี ดอนกิโฆเต้ไปเจอคนชายขอบ มีทั้งคนคุก โสเภณี เป็นคนแบบเดียวกันกับที่พระเยซูให้ความสำคัญ<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณสุวัฒน์</span> : ผู้อ่านดอนกิโฆเต้น่าจะได้รับความหวัง แม้ชีวิตจะอยู่ในสถานการณ์มืดริบหรี่เพียงใด ถ้ายึดความหวังไว้ วันหนึ่งความสว่างจะฉายลงมา คนคิดดับชีวิตตนเองดังที่เราพบจากข่าวปัจจุบัน คือผู้ไม่มีความหวังใดๆ หลงเหลือ เซร์บันเตสสอนเราผ่านดอนกิโฆเต้ว่าชีวิตต้องมีความหวัง และต้องบำรุงเลี้ยงความหวังอยู่เสมอ<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. สว่างวัน</span> : ดอนกิโฆเต้มีความเป็นสเปนมาก สเปนช่วงที่เซร์บันเตสเป็นเด็กๆ มีศาสนาคริสต์คาทอลิก โลกเปิดมาก ประมาณศตวรรษที่ 8 ต่อมาถูกครอบครองโดยอาหรับ แต่มียิวอยู่ด้วย อยู่อย่างผสมกลมกลืนพอสมควร ใครอยากนับถือต่างศาสนาก็อยู่ได้โดยการจ่ายส่วย ทางใต้เป็นมุสลิม ทางเหนือเป็นคาทอลิก มีศิลปะของทั้ง 3 ชนชาติในแผ่นดินสเปน ต่อมาความขัดแย้งมากขึ้นๆ มีการขับไล่ชาวอาหรับออกจากประเทศ ทำให้สเปนตกต่ำ เพราะอาหรับและยิวเก่งด้านธุรกิจการเงิน ศาสนาแยกกัน เริ่มมีนิกายโปรแตสแตนท์ เพื่อป้องกันความคิดแปลกแยก สเปนจึงปิดประเทศ เซร์บันเตสขัดแย้งมาก ตอนเด็กโลกเสรี พอวัยกลางคนกลับถูกปิดกั้นทางความคิด ไม่มีใครตอบได้ว่าเซร์บันเตสเป็นคาทอลิก โปรแตสแตนท์ หรือยิวกันแน่<br /><br />ฉากเรือนแรมช่วงท้ายๆ แสดงสังคมสเปนไว้ดียิ่ง มีตัวละครมาพบกัน ทั้งลูกดยุค ขุนนางต่ำศักดิ์ ชาวนา โดโรเตอา-หญิงชาวบ้านมั่งคั่ง บาทหลวง กัลบก ตำรวจหลวง คนต้อนล่อ คนรับใช้ ผู้พิพากษา ทหาร แขกมัวร์ รวมประมาณ 32 คน ทุกคนเคลื่อนไหว ทำให้เรื่องดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติ ตรงนี้คือเรื่องนี้เป็นสเปนในความรู้สึก<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. คารินา</span> : การอ่านวรรณกรรมเพื่อให้รู้เขารู้เรา เรียนภาษาเขา เรียนวรรณคดี ควรรู้จักภาษา ความคิด และประวัติศาสตร์<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณสุวัฒน์</span> : ความแตกต่างในความสภาพความเป็นจริงของสังคมไม่ใช่ปัญหา ปัญหาที่แท้จริงคือการไม่ยอมรับเหตุผลซึ่งกันและกัน<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. สว่างวัน</span> : มีคนกล่าวว่าห้องสมุดของดอนกิโฆเต้ อาจเป็นห้องสมุดของเซร์บันเตส เขารักหนังสือ มีหนังสือ 300 กว่าเล่ม สมัยนั้นเนื้อวัวเนื้อแกะราคา 15 มาราเบดิ หนังสือเล่มนี้ราคา 290 มาราเบดิกึ่งในยุคนั้น แปลว่าแพง ตอนนี้เนื้อหมูกิโลละ 100 หนังสือ 600 บาท ไม่แพงนะคะ (หัวเราะ) ดอนกิโฆเต้มีหนังสือ 300 กว่าเล่ม มีหนังสือบางเล่มรอดจากถูกทำลายไปเพราะอ่านสนุก เซร์บันเตสคิดว่างานประพันธ์ต้องมีศิลปะด้วย งดงามด้วย อ่านสนุกด้วย<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. คารินา</span> : ยุคโบราณก็มีการเล่นเส้นแล้ว คนนี้จำชื่อนักเขียนได้ จึงเก็บหนังสือไว้<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. สว่างวัน</span> : ชอบตัวละครผู้หญิงของเขา เรื่องนี้มีตัวละครหญิงเยอะมาก ต้องนึกถึงผู้หญิงเมื่อ 400 ปีที่แล้ว (อ. คารินาเสริมว่าวันนี้เป็นวันสตรีสากล) ชอบโดโรเตอา ลูกชาวนา ฐานะมั่งคั่ง พ่อมอบหมายให้ดูแลเรือกสวนไร่นา คุมคนงาน เป็นผู้หญิงเก่ง สวยมาก ถ้าเราเป็นโดโรเตอาจะทำอย่างไร ผู้ชายเข้ามาหาถึงในห้องนอน อย่างไรก็เสียหายไปแล้ว จึงให้สัญญาจะแต่งงาน ผู้ชายไปหา ได้แล้วก็จบกัน หนีด้วย โดโรเตอาต้องปลอมตัวเป็นชายตามไป อยากได้สามีคืน ในที่สุดไปเจอ โดโรเตอาให้เหตุผลดีมากว่าทำไมจึงควรแต่งงานกับเธอ ดังนี้<br /><br /><blockquote><span style="color:#000066;">จงใคร่ครวญเถิดว่า ความรักแลภักดีที่ข้ามีต่อท่าน<br />จักมีค่าเสมอความงามแลศักดิ์ตระกูลของหญิงนางนี้ผู้ที่ท่านหมายปองจนสลัดข้าไปหรือไม่<br />... หากท่านไม่ประสงค์ให้ข้าเป็นภริยาด้วยชอบแลแท้จริงดังที่ข้าสมควรเป็น<br />ก็ขอโปรดรับข้าไว้เป็นนางทาสของท่านด้วยเถิด เพียงได้อยู่ร่วมชายคากับท่าน<br />ข้าก็พึงใจแลเปี่ยมสุขยิ่งแล้ว ... ท่านจะไม่ยึดถือว่าถ้อยคำตนเป็นสัจจะกระนั้นหรือ<br />ก็เมื่อท่านทระนงในศักดิ์ตระกูลแลถือเป็นเรื่องหมิ่นแคลนตัวข้า<br />คำมั่นของท่านย่อมเป็นดั่งพยานแลสวรรค์เบื้องบนก็ดุจกัน<br />สวรรค์อันท่านกล่าวอ้างยามให้คำมั่นแก่ข้า<br />แม้นถ้อยคำที่ข้ากล่าวมามิบังเกิดผลใดต่อจิตใจท่าน<br />เสียงแห่งมโนสำนึกย่อมแว่วเตือนท่าน</span><br /></blockquote><br />ผู้หญิงอีกคนคือนางมาร์เซล่า ผู้ชายที่หลงรักเธอฆ่าตัวตาย เมื่อนางปรากฏตัว คนเรียกเธอว่านางอสรพิษ แต่เธอบอกว่าเกิดมาสวยแล้วทำไมเหรอ คุณมาบอกรักคนสวยแล้วฉันต้องรักตอบด้วยหรือ ถ้าไม่สวยขึ้นมาล่ะ ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้สวยด้วยแพทย์นะคะ เกิดมาสวยเอง จะมาว่าเขาได้อย่างไร ปณิธานของเจ้าหล่อนคือข้าเกิดมาเยี่ยงเสรีชน แลดำรงตนอิสระ เมื่อตายไป ความงามที่เหลืออยู่จะเป็นของผืนดินที่ฝังตัวนาง ตอบเฉียบขาดมาก ชอบค่ะDon de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3730209939703745791.post-89732094222859715602007-03-11T18:19:00.000+07:002007-03-11T18:19:19.537+07:00งานวันที่ห้า<div align="left"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhsTVC50KuARxRY0ZrjMmtrzw1XkQqJTRPspimpStk5581qbvBw38T9WQRdSVwl7pU6zOgFDhk2qJe2iOzRpVfHL2DtfTWrByYEBG7cXVyKSI9JolS695Rp98CwlgVJ3OtTZ4Kai5tThoc/s1600-h/pic5_1.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5040621136666992226" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhsTVC50KuARxRY0ZrjMmtrzw1XkQqJTRPspimpStk5581qbvBw38T9WQRdSVwl7pU6zOgFDhk2qJe2iOzRpVfHL2DtfTWrByYEBG7cXVyKSI9JolS695Rp98CwlgVJ3OtTZ4Kai5tThoc/s320/pic5_1.jpg" border="0" /></a><br /><div align="left"><span style="color:#993399;">รายงานโดย เจ้าหญิงมิโกมิโกน่า</span></div><div align="left"><br />งานเสวนาเรื่อง 'บรรณาธิการต้นฉบับแปล กับการตรวจแก้วรรณกรรมสำคัญ' มีผู้เสวนาบนเวทีคือ อ. วัลยา วิวัฒน์ศร อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาฝรั่งเศส จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คุณมกุฏ อรฤดี บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ทั้งสองเป็นบรรณาธิการต้นฉบับแปล ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน และคุณสุวัฒน์ หลีเหม ผู้เคยอบรมวิชาบรรณาธิการต้นฉบับแปล ปัจจุบันมีอาชีพเป็น บ.ก. ต้นฉบับแปล </div><br /><div align="left"></div><div align="left"><span style="color:#993399;">อ. วัลยา </span>: ขอต้อนรับท่านผู้ฟังทุกท่าน ในแง่การแปลและการตรวจแก้ต้นฉบับงานแปล คุณมกุฏถือเป็นอาจารย์ของดิฉัน ก็องดิด งานแปลเรื่องแรกทำให้ดิฉันเห็นว่าผิดพลาดอย่างไร ควรแก้ไขอย่างไร คุณมกุฏมุ่งมั่นมากในการตรวจแก้เพราะเป็นนักประพันธ์ และทำงานทางวรรณกรรมมาเป็นเวลานาน มีประสบการณ์กว่า 30 ปี มากกว่าดิฉัน คุณมกุฏอยากให้สอนวิชานี้ในมหาวิทยาลัย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโท สาขาวิชาแปล มีวิชาการตรวจแก้ต้นฉบับ คณะอักษรศาสตร์กับผีเสื้อจัดอบรมเรื่องบรรณาธิการต้นฉบับแปลแก่บุคคลภายนอก ขณะนี้จัดแล้ว 5 ครั้ง ใช่ไหมคะ (หันไปถามคุณมกุฏ) จะจัดอีกครั้งเดือนพฤศจิกายนนี้ คงเป็นครั้งสุดท้าย (คุณมกุฏแย้ง) ดิฉันไม่ประสงค์จะทำงานต่อหลังจากทำงานมาระยะเวลายาวนาน (คุณมกุฏทำสีหน้าเซ็ง) ไม่ต้องมาทำหน้า... (หัวเราะ) </div><br /><p align="left">คุณมกุฏติดต่อไปที่มหาวิทยาลัยอื่น ที่มหาสารคาม การตรวจแก้เป็นสาขาวิชา และล่าสุดคือ ม.บูรพา จะเป็นสาขาวิชาเอก คุณมกุฏไปดูเรื่องการคัดนิสิตเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา<br /><span style="color:#993399;"><br />คุณมกุฏ</span> : นักศึกษาปี 1 ต้องเลือกวิชาเอกในปี 2 มีวิชาเอก 3 สาขาให้เลือกคือ บรรณารักษ์, สารสนเทศและบ.ก. ต้นฉบับ นิสิต 39 คนมีเด็กเลือกวิชานี้ 21 คน หลังสัมภาษณ์แล้ว วันนั้นยกโขยงไปหลายคน แต่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าจะรับทั้ง 21 คนหรือไม่ เมื่อถามว่าหนังสือเล่มสุดท้ายที่คุณอ่านคืออะไร เมื่อใด ตอบว่าหนังสือพิมพ์ นิตยสาร คำถามว่าชอบอ่านหนังสือไหม ตอบว่าไม่ค่อยชอบ อย่างนี้ก็คงจะไม่ได้ </p><p align="left">เมื่อคืนผมนอนไม่หลับ ลุกมาจด เราเริ่มงานนี้มาตั้งแต่วันเสาร์จนถึงวันนี้ มีบุคคลหนึ่งมาที่นี่ทุกวัน มาดูงาน มานิทรรศการ ตอนแรกไม่ทราบว่าเป็นใคร ได้แต่ทักทาย เมื่อวาน อ. วัลยาบอกว่ารู้ไหม คนที่มาคือ รปภ. ผมดีใจ คิดว่าเขาคงเป็นรัฐมนตรีกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง คือ รปภ. คล้ายๆ รมต. วันแรกมีข้าราชการระดับสูงมาหลายคน คนหนึ่งขอหนังสือ นิสัยผมใครอยากได้อะไรผมให้ แต่ 'อยากได้' กับ 'ขอ' ไม่เหมือนกัน ตอนแรกผมตัดสินใจส่งไปให้ แต่เมื่อคืนผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมจะส่งหนังสือของผีเสื้อทุกเล่มไปให้ รปภ. ผู้นี้เป็นเวลา 3 ชั่วอายุคน คือรุ่นเขา รุ่นลูกเขา และหลานเขา ที่เล่าเรื่องนี้แสดงอะไรให้เห็น คนบางคนบางพวกอยู่ผิดที่ผิดทาง เมื่อเช้านั่งรถมาผมหวังว่าหากเขาปรารถนาจะทำงานกับสำนักพิมพ์ผม ผมจะเชิญ และเขาจะมีเงินเดือนเท่าบรรณาธิการ </p><div align="left">ถ้าเราไม่เห็นความสำคัญเรื่องหนังสือ เราจะหวังอะไรได้ล่ะครับ ตั้งแต่ผมทำดอนกิโฆเต้ฯ อ. วัลยาบอกว่าผมเริ่มเสียสติมากขึ้นทุกทีๆ ผมอยากเป็นอัศวิน อัศวินที่ได้ทำอะไรดีๆ กับหนังสือ วิชาบรรณาธิการต้นฉบับสำคัญ ขาดไม่ได้ วันที่คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรีมา บอกว่าญี่ปุ่นมีหน่วยงานดูแลเรื่องแปลมาเป็นร้อยปีแล้วมั้ง ดังนั้นวรรณกรรมคลาสสิกทั้งหลายมีอยู่ในภาษาญี่ปุ่นหมดแล้ว แต่ในไทย มีเล่มไหนบ้างที่แปลอย่างเป็นทางการโดยการรับรองของรัฐบาล ไม่มี ลูกหลานเหลนโหลนเราจะล้าหลังต่อไป ถ้าไม่มีวิชาการตรวจแก้ จะหวังอะไรได้ </div><br /><div align="left"></div><div align="left"><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : ตอนแรกคนบอกว่าจะไปสอนอะไรได้ ทำไมต้องมีวิชา บ.ก. ต้นฉบับ เวลาที่เราแปลหนังสือ เราเข้าใจความหมายในภาษาต้นฉบับ ถ่ายทอดเป็นภาษาไทย เมื่ออ่านภาษาไทย ความเข้าใจภาษาต้นฉบับยังอยู่ในสมองเรา เราคิดว่าภาษาแปลนั้นถ่ายทอดอรรถรส ภาพ เสียง กลิ่น หมดแล้ว เราก็มองไม่เห็นข้อบกพร่องในการแปลของเรา ดังนั้นความเข้าใจเดิมยังคงอยู่ </div><br /><div align="left">หากใครเก่งภาษาไทยโดยรู้เรื่องวรรณศิลป์ เป็นคนอ่านหนังสือแล้วเห็นภาพพจน์ ได้ยินเสียง ได้กลิ่น ได้สัมผัส เขามาคุยกับเรา เขาอาจอธิบายให้เราได้ว่าภาพพจน์ไม่แจ่มชัด นี่คือความสำคัญของการมี บ.ก. ต้นฉบับ เช่น "เขาตะเกียกตะกายลงจากหน้าผา" ดิฉันจะมองไม่เห็นภาพ สำหรับดิฉัน การตะเกียกตะกายคือการไต่ขึ้น คำนี้ทำให้นึกภาพตัวละครไม่ออก ผู้แปลอาจเห็นภาพอีกอย่าง คำเหล่านี้เป็นคำที่ดิฉันสะดุด คำว่า 'ไต่' ใช้ได้ทั้งขึ้นและลง แต่ ตะเกียกตะกาย ขึ้นอย่างเดียว </div><br /><div align="left"></div><div align="left">เมื่อวานนี้คุณสุวัฒน์ขึ้นเวทีในฐานะนักอ่าน ขณะอ่าน เขาบอกว่ามีโมหะจริต อยากจับผิดอาจารย์เพราะอาจารย์มาจับผิดเขา แต่การเขียนของเซร์บันเตส สาระในนั้นทำให้คุณสุวัฒน์ลืมจับผิดอาจารย์ </div><br /><div align="left"></div><div align="left"><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : เขาจับผิดเก่งนะ ตอนหลังได้รับเชิญไปสอนวิชาการตรวจแก้ต้นฉบับที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ม.บูรพา เขาเป็นความหวังหนึ่งของวิชาตรวจแก้ต้นฉบับ จากการอบรมที่ผ่านมา 5-6 ครั้ง มีผู้เข้ารับการอบรมบอกว่า คนที่ทำงานเป็น บ.ก. ต้นฉบับต้องมีลักษณะ ปากหมา ตาผี หูปีศาจ ผมวิตกที่ อ. วัลยาจะหยุดสอน เพราะวิชานี้สอนคนเดียวไม่ได้ สังขารอย่างนี้จะไปสอนได้อย่างไร 50-60 ชั่วโมง อยากให้อ. วัลยาเห็นว่าคนมันเยอะนะ พลังมันเยอะ ช่วยบอกอาจารย์ว่าอย่าเกษียณเถอะ ขอให้ช่วยสอน</div><br /><div align="left">มีรุ่นหนึ่งตอนสอน ผมย้อมผม ย้อมผมสีดำ อุตส่าห์ย้อมเข้ามาในห้อง ตั้ง 40 ชั่วโมงไม่มีใครถามผมสักคนว่าทำไมผมจึงดำ ย้อมคิ้วด้วย ย้อมอย่างดี ไม่มีใครถาม ในที่สุดต้องบอกว่าที่ย้อมผมนี้คือเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น ถ้าหัวเบ้อเร่อเบ้อร่ายังไม่สังเกต แล้วจะไปสังเกตตัวอักษรเล็กๆ น้อยๆ ได้อย่างไร (คุณสุวัฒน์เสริมว่าควรย้อมครึ่งหัวเฉพาะซีกซ้ายหรือขวา) อย่างวันนี้เหรียญที่ผมติดเสื้อมา ไม่มีใครถามเลยว่าเหรียญอะไร</div><br /><div align="left">วันดีคืนดี หน้าสำนักพิมพ์ผีเสื้อมีคนมากดกริ่ง พอเดินออกมาเช้าวันหนึ่ง มีลังกระดาษ 10 ลังวางที่ประตู ปราศจากผู้คน คุณรู้ไหมว่าในนั้นเป็นอะไร ไม่ใช่ระเบิด ไม่ใช่ขนม ในนั้นมีหนังสือวัดเกาะประมาณ 2 พันเล่ม<br /></div><br /><div align="left"><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : หนังสือวัดเกาะคือบทกลอนสมัย 70 ปีที่แล้ว เล่มเล็กๆ บางๆ เป็นกลอนเช่นของสุนทรภู่ ปัจจุบันเป็นหนังสือหายาก<br /></div><br /><br /><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=400050" border="0" /> (ภาพจาก ผู้จัดการ)<br /><br /><div align="left"><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : แต่อยู่ในลังนี้ครบถ้วนทั้งหมด ผมงงจนบัดนี้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เช่นเมื่อวานซืนเราพูดเรื่องเปอะเปี๊ยะดอนฯ ทำไมเจ้าของร้านจึงมาเปิดที่หน้าปากซอย เฉพาะช่วงที่เราทำหนังสือดอนกิโฆเต้ฯ แต่พอดอนกิโฆเต้ฯ ปิดเล่มพิมพ์เสร็จ ร้านนี้หายไปเลย เราคิดว่าเซร์บันเตสส่งเขามา </div><br /><div align="left">คุณณรรฐ ไม่เคยทำหนังสือ มาช่วยเรา การแก้ต้นฉบับมีการโยงเยอะมาก ใช้หมึกสีเขียว การตรวจแก้ไม่ใช่หมึกแดง เพราะครูใช้หมึกสีแดงกับเราตั้งแต่เด็กและเรารู้สึกเจ็บปวด หากใช้หมึกสีแดงแม้แต่ตัวเดียว เจ้าของจะรู้สึกไม่ดี คุณณรรฐมาช่วย คุณคิดดู หนังสือ 600 หน้า จะต้องทำต้นฉบับทั้งหมด 12 ชุด ตรวจแก้ 12 ครั้ง แก้ครั้งที่ 1 คุณณรรฐต้องนั่งหน้าจอ จิ้มๆ พิมพ์ใหม่ แก้ครั้งที่ 1 คุณณรรฐจิ้มๆ ลายมือผมยุ่งอีรุงตุงนัง อ. ปณิธิบอกว่าต้นฉบับมันเหม็นเพราะเอาไปนอนด้วย พอคุณณรรฐทำเสร็จแล้ว เขาขี่รถยนต์โฟล์คสวาเกนเก่าๆ หายไปเลย<br /></div><br /><div align="left"><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : เรียมเหลือทนแล้วนั่น </div><br /><div align="left"><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : ถ้าไม่มีณรรฐ ต้นฉบับนี้ไม่เสร็จ ผมเพิ่งทำหัวใจออกจากโรงพยาบาล ณรรฐเป็นคนช่วยผมอย่างมาก ผมพยายามติดต่อเขา แต่ติดต่อไม่ได้ ไม่รู้เขาอยู่ไหน ใครเจอณรรฐช่วยบอกให้มารับเหรียญหน่อย ผมอยากมอบเหรียญให้เขา<br /></div><br /><div align="left"><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : ก่อนคุณมกุฏถูกเซร์บันเตสครอบงำ ได้ถูกบัลซัคครองงำมาก่อน แก้ 12-17 ครั้ง<br /></div><br /><div align="left"><span style="color:#333399;">(ในการเสวนา อ. วัลยามีตัวอย่างต้นฉบับมาให้ดู ขอให้ผู้เข้าร่วมเสวนาลองอ่านว่าสะดุดติดขัดอะไรไหม อ่านตรงไหนไม่เข้าใจ ไม่เห็นภาพ การสะกดผิด การใช้คำซ้ำ ตัวอย่างเหล่านี้ใช้เพื่อเป็นประเด็นว่าในการตรวจแก้ต้นฉบับ เราดูอะไรบ้าง) </span></div><div align="left"><br /><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : การตัดคำต้องคิดด้วยว่าทำไม คำว่า 'ที่อยู่' ทำให้คิดไปถึง address จึงตัดออกได้ แต่ต้องดูว่าไม่ทำให้ภาษาเดิมเสียไป ผู้ตรวจแก้ต้นฉบับต้องทำงานร่วมกับผู้แปล ไม่ต้องมาตบตีกันทีหลัง<br /></div><div align="left"><br /><span style="color:#993399;">คุณสุวัฒน์</span> : ต้นฉบับที่ใช้ตัวเลขและตัวหนังสือ เมื่อใดที่ตัวเลขอยู่ในเครื่องหมายคำพูด ให้ใช้คำอ่านแทนตัวเลข เมื่ออยู่นอกคำพูด ให้ใช้ตัวเลข<br /></div><br /><div align="left"><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : ถ้าสำนักพิมพ์แต่ละแห่งมีการตรวจแก้ ผู้อ่านจะไม่เกิดภาพสะดุด และมีการเกลาภาษา การดูคำสะกด<br /></div><br /><div align="left"><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : การสะกดสมัยนี้เรียกพิสูจน์อักษร ผมชอบใช้คำเดิมใน ร. 6 ว่าตรวจทานมากกว่า เพราะเห็นคำนี้แล้วนึกถึงตำรวจต้องไปพิสูจน์หลักฐาน พิสูจน์ศพ คืออยากใช้คำว่าตรวจทาน ก็อยากให้ลองคิดดู<br /></div><br /><div align="left"><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : จากแบบฝึกหัด เมื่อไรภาพไม่ชัด ผู้แปลต้องบอกว่าเราแปลผิด ตาผีคืออ่านแล้วต้องสะดุด ตรรกะในแง่ความเป็นเหตุผลดูแล้วเป็นไปไม่ได้ </div><br /><div align="left"><span style="color:#993399;">คุณสุวัฒน์</span> : ถ้าเราไม่มีต้นฉบับของประโยค </div><br /><div align="left"><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : ต้องถามผู้แปลทันทีว่าทำไม ผู้แปลควรจะไปค้น</div><br /><div align="left"><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : การตรวจแก้ต้นฉบับ นักเขียนบางคนไม่ใช้ความหมายแรกของคำศัพท์เลย ถ้าแปลโดยใช้ความหมายแรก เรื่องจะกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในการตรวจแก้ต้นฉบับครั้งหนึ่ง ของนักเขียนที่ไม่ชอบใช้ความหมายที่หนึ่งหรือสองเลย แต่ชอบใช้ความหมายไกลๆ ออกไป คำพวกนี้ทำให้เราหลงกล สิ่งแรกที่ต้องทำคือหาตัวนักเขียนให้เจอ หาจากไหน จากประวัติหรือก็ใช่ แต่ลึกไปกว่านั้นคือเรื่องที่คุณอ่านอยู่นั่นเอง นักแปลบางคนสามารถแปลเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่องหนึ่งอย่างแยบยลมาก นักแปลอาจเผลอมองเห็นคำว่า กรวดทราย เป็น ช้าง ได้ ชีวิตของเราดั่งหนึ่งช้างที่อยู่บนหาดทราย ถ้าไม่เฉลียวใจไม่สงสัย ก็ได้ แต่ตาผีต้องเห็นว่าทำไมช้างไปอยู่บนหาดทราย ไม่ปกติ ต้องดูต้นฉบับ แก้ได้ทันที ไม่ต้องถามผู้แปลได้ </div><div align="left"><br />บ.ก. ที่ตรวจแก้ต้นฉบับภาษาที่ 1 ได้จะต้องรู้ภาษานั้นอย่างดี แต่ถ้าไม่มีก็ต้องหาคน บางครั้ง บ.ก. ต้นฉบับที่ทำงานมานานอาจพลาดได้ จึงต้องมีมือที่ 2 คอยดูว่า บ.ก. คนแรกพลาดอะไรมา คนนี้จะสนุกที่จับได้ว่าผิด จะสนุกที่สุด ผมยินดีเป็น บ.ก. มือสองตลอดชีวิต ทุกครั้งที่ผมเจออะไรก็ตามที่ อ. วัลยา ผิด ผมจะมีความสุขมาก 4 ทุ่ม-5 ทุ่มโทรไปหา อ. วัลยา อาจารย์ครับผิดตรงนี้ครับ ผมจะ โอ๊ย... (สีหน้าปลาบปลื้ม)<br />เมื่อคุณฝันเป็นภาษาฝรั่งเศส อย่าได้หวังว่าจะตรวจแก้ต้นฉบับฝรั่งเศส-ไทยได้ 100% ต้องมีคนคอยจับผิด คนนั้นไม่ต้องจบปริญญาเอกภาษาไทย ผู้ที่จบปริญญาเอกภาษาไทยเขาคิดเป็นภาษาอังกฤษ ดร.ท่านหนึ่งใช้ภาษาไทยคำว่า งานครั้งนี้ให้การสนับสนุนโดย ... งานนี้มันขึ้นศาลหรือครับ ถึงใช้คำว่า 'ให้การ' เพราะเขาคิดประโยคนี้เป็นภาษาอังกฤษ<br /></div><br /><div align="left">เรากลัวว่าอ่านดอนกิโฆเต้ฯ ภาษาไทยจบ ไปคุยกับฝรั่งปรากฏว่านักอ่านไทยบอกว่าดอนกิโฆเต้ฯ ดีมาก ใช้ภาษาทันสมัยเปี๊ยบ ผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นอกจากความละอายที่เราจะได้รับ เพราะหนังสือเขียนมา 400 ปีแล้ว<br /></div><br /><div align="left"><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : บ.ก. ต้องอ่านแล้วเห็นภาพ แล้วคิดว่าภาพไปด้วยกันได้ไหม และขอให้เชื่อความสามารถของนักประพันธ์ ว่าเขาจะไม่เขียนอะไรไม่เข้าท่า ดังนั้นต้องสะดุด ในการสลับประโยค อย่าเริ่มแปลด้วยการสลับตำแหน่ง อย่าสลับวลีข้างต้นข้างท้ายในทันที ควรคงไว้ถ้าโครงสร้างยังเป็นไทย เพราะนักเขียนเรียงตามความสำคัญ จะสลับเฉพาะเมื่อโครงสร้างประโยคไม่เป็นภาษาไทย</div><div align="left"><br /><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : ถ้าอ่านดอนกิโฆเต้ฯ จะมีข้อสงสัยเยอะ อย่างเรื่องคำโบราณ อ่านแล้วรู้สึกไหม ผู้บรรยายกล่าวถึงคำว่าวิสัยทัศน์ จินตนาการ อ่านแล้วรู้ว่าตัวละครจินตนาการ แต่ไม่เคยมีคำว่าจินตนาการในยุคนั้น สุดท้ายเราใช้คำว่า คิดฝัน หรือคำว่าสุภาพบุรุษ ใช้คำว่า ชายผู้ดี คำว่าวิสัยทัศน์เป็นคำใหม่ เราไม่ใช้ จะบอกว่าสมเด็จพระนเรศวรมีวิสัยทัศน์กว้างไกลนั้นใช้ไม่ได้ จึงใช้คำอื่นแทน เหมือนอัศวินสมเด็จพระนเรศวรจ๊าบมาก ใช้ไม่ได้ ไม่ถามหรือครับว่าผมเอาคำเหล่านี้มาจากไหน</div><div align="left"><br />ตอนตรวจเรื่องของวอลแตร์ หรือบัลซัค ผมคือวอลแตร์ ผมคือบัลซัค ได้ผลนะครับที่สมมติตัวเองเป็นนักเขียน เหมือนคนที่ทรงเจ้าเข้าผี และทำได้ แต่เซร์บันเตสไกลเกินไป ผมอ่านต้นฉบับ 6 เดือน ยังไม่รู้เลยว่าเซร์บันเตสเป็นใคร เป็นการหายไปของนักเขียน<br /></div><div align="left"><span style="color:#993399;"></span> </div><br /><div align="left"><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : นักประพันธ์ซ่อนตัวสนิทมาก ที่เด่นคือตัวละคร เพราะเขาซ่อนตัวสนิทมาก ช่วงหลังนักเขียนหลายคนพยายามซ่อนตัว แต่ซ่อนไม่สนิท บัลซัคแม้รูปชั่วตัวดำแต่มีเสน่ห์ มีรูปหนึ่งหน้าเหมือนคุณมกุฏ<br /></div><br /><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : โปรดอย่าบอกเช่นนั้น เพราะบัลซัคได้รับชื่อว่าเป็นชายผู้อัปลักษณ์ที่สุดคนหนึ่ง<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : แท้จริง เซร์บันเตสกล่าวชื่อตัวเองไว้ในหนังสือ แต่เราไม่รู้เลยว่าเป็นเขา<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : ผมทะเลาะกับ อ. สว่างวัน (ผู้แปล) วันหนึ่งเขาเขียนจดหมายมาต่อว่าผมต่างๆ นานา<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. สว่างวัน</span> : ตอนนั้นคับแค้นใจ ถ้ามีกำหนดเวลาจะประสาทเสียมาก ต้องทำส่งประเทศสเปน เนื่องจากได้รับเงินสนับสนุนส่วนหนึ่ง (คุณมกุฏแก้ว่า ไม่ใช่ส่วนหนึ่ง นิดหนึ่ง) มีการขอยืมตัวไปปฏิบัติราชการนอกสถานที่ ทูตตอนนั้นบอกว่านึกว่ามาขอลูกสาว ต้องไปขอตัวที่มหาวิทยาลัย ส่งงานยก 1 ส่วนยก 2 คือรอสำนักพิมพ์พิมพ์หนังสือ เงื่อนตายคือปี 2005 จนเดือนกันยายนยังมีคำถามแปลกๆ เช่น จะแยกชื่อกับนามสกุลดีไหม ก็ร้อนใจว่ายังอยู่ตรงนี้ มีคนถามว่าไม่เห็นมีผลงานออกมาเลย แปลจริงหรือ จึงไปตัดพ้อต่อว่าทำไมไม่ทำสักที คุณมกุฏบอกว่านักเขียนซ่อนตัวสนิท<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : เวลาตรวจแก้ต้นฉบับ เราปกป้องนักเขียน เราต้องเป็นศัตรูกับผู้แปล เราตั้งสมมติฐานว่าผู้แปลจะแปลผิด แปลผิด แปลผิด แปลผิด เมื่อใดที่เราตรวจโดยคิดว่าตนเองเป็นนักเขียน เราจะตรวจแก้ได้ดี ถ้าเราคิดว่าเป็นสมบัติของเรา เราจะปกป้องอย่างยิ่ง ต้นฉบับผ่าน อ. วัลยามาแล้วอย่างดี ที่ไม่ต้องแก้เลยคือกวีนิพนธ์ ทั้งที่เรามีกวีประจำสำนักพิมพ์ คนหนึ่งอายุ 85 อีกคนอายุ 58 ไม่ต้องแก้เพราะอ. วัลยาเป็นนักกลอนเก่า คุณพ่อก็เป็นนักเขียน อาจารย์ทำงานส่วนนี้ได้ดีวิเศษ<br /><br />เรื่องที่ว่าศัพท์ภาษาโบราณมาจากไหน ผมสมมติว่าตัวเองเป็นคนยุคนั้น ต้องไม่อ่านข่าว ไม่ดูโทรทัศน์ ไม่อ่านหนังสือสมัยใหม่ สมมติตัวเองว่าอยู่ยุคนั้น ผมมีพจนานุกรมโบราณชุดหนึ่ง 5 เล่ม ปกสีชมพูเชยมาก ผมเกลียดมาก<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : ขอโทษนะคะ สีของจุฬา พิมพ์โดยโรงพิมพ์จุฬาฯ<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : พจนานุกรมของหมอสมิท อะไรสักอย่าง พิมพ์ใหม่ ผมซื้อมา 2 ชุด เห็นสีไม่สวยผมเอาไปเก็บ ถือก็เจ็บมือ ผมเก็บในตู้ไม่ได้ใช้ พอเจอคำที่ใช้ศัพท์เก่าก็งุ่นง่าน ผมเดินเข้าห้องน้ำวันละ 100 หน เวลาผมคิดอะไรไม่ออก เดินเข้าห้องน้ำจะคิดออก จะมีสถานที่แห่งหนึ่งสำหรับแต่ละคน ที่พอเราเดินไปแล้วจะคิดออก ผมแค่เดินไปห้องน้ำ ไปล้างมือจะคิดออก วันหนึ่งเกิดคิดได้ว่ามีพจนานุกรม ทำไมไม่เอามาเปิด คำใดก็ตามผ่าน อ. วัลยามาแล้วยังใหม่อยู่ เอาคำนั้นมาแปลเป็นภาษาอังกฤษ จะออกมาเป็นคำแปล เช่นสุภาพบุรุษ คือ gentleman ในพจนานุกรมใช้คำว่า ชายผู้ดี<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. สว่างวัน</span> : มีปัญหามากด้านภาษา จะเอาสมัยไหนดี จึงขอเลือกภาษาในร. 6 เพราะคุ้นเคยอ่านพระราชนิพนธ์แปลหลายเรื่อง แต่รู้สึกยังเก่าไม่พอ ต้องขอบคุณท่านทั้งสองที่ปรับให้เข้าใกล้ภาษาของเซร์บันเตสมากขึ้น<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : คำว่า เรือนพักแรม ยังคงอยู่ถึงคราวที่เราแก้ฉบับครั้งที่ 10 ทุกคืนต้องอ่านหนังสือสาส์นสมเด็จ อ่านพระราชกิจจานุเบกษา เป็นหนังสืออ่านสนุก ภาษาเราจะได้มา คืนหนึ่งผมอ่านสาส์นสมเด็จ กรมพระยาดำรงราชานุภาพลี้ภัยไปอยู่ชวา เขียนจดหมายถึงกรมนริศฯ ว่าวันนี้ฉันไปพักที่เรือนแรมแห่งหนึ่ง ผมลุกมาตีห้า ดูว่ามีเรือนพักแรมอยู่กี่แห่ง ปรากฏว่าต้องทำอาร์ตเวิร์กใหม่ ในการจัดหน้านั้นคนทำหนังสือจะรู้ ตัววิ่งไปหมด ผีเสื้อจัดหน้าประหลาด โดยทำให้วรรคเท่ากันทุกวรรค จะใช้ระบบอัตโนมัติของฝรั่งไม่ได้ ซึ่งจะทำให้มีบางวรรคห่างนิดนึง บางวรรคห่างคืบหนึ่ง เราอยากให้เท่ากัน ทุกวรรคในหนังสือต้องนั่งเคาะห้าครั้ง 600 หน้า จะเคาะกี่เที่ยว<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : เขาถึงขับรถโฟล์คเต่าหายไป<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : แต่ขอบคุณว่าในที่สุดเราไม่ผิด อ. สว่างวันอีเมลถามจากสเปน รู้ได้อย่างไรว่าต้องแก้อย่างนี้ ผมจำได้หมด ผมเป็นคนอาฆาตแค้นนะ (หัวเราะ)<br /><br />ทำไมต้องเป็น เรือนแรม ภาษาสมัยหลังแปลว่าโรงเตี๊ยม อัศวินขี่ม้าไปโรงเตี๊ยม นึกถึงหนังกำลังภายในทันที ร. 5 ใช้ทับศัพท์ว่าโฮเตล แต่จะใช้โฮเตลก็ใช้ไม่ได้ เพราะลักษณะโฮเตลกับเรือนแรมต่างกัน<br /><br />ทำไมต้องแก้ 12 รอบ เพราะรอบหนึ่งเจอคำผิดคำหนึ่ง ครั้งที่ 10 แก้เรือนพักแรม คุณณรรฐ อัศวินที่สูญหายไปแล้ว ต้องนั่งเคาะตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย นักข่าวผู้หนึ่งถามว่าผมอ่านดอนกิโฆเต้ฯ กี่ครั้ง อ่านแต่ต้นจนจบ 12 ครั้ง แต่บางบทอ่านถึง 100 ครั้ง คือบทที่ 1 ถ้าคุณพลาดตั้งแต่บทเริ่มต้น จบเลย เพราะแกเล่นอะไรไว้เยอะ ขายได้เท่าไร เจ็ดแสนแปดหมื่นเล่มในประเทศไทย วันนี้มีคนมาฟังสองหมื่นกว่าคน<br />บทแรกต้องดูเป็นพิเศษ ผมสงสัยจนวันนี้ว่าบุคคลที่อุทิศให้ มีตัวตนจริงไหม<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. สว่างวัน</span> : ดยุคมีตัวตนจริง แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนจริง ก่อนลงมือแปลเคยคุยกับคุณมกุฏเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เมื่อครั้งไปเรียน บ.ก. ต้นฉบับรุ่น 2 ได้เรียนคุณมกุฏว่าอยากแปลเรื่องนี้ คุณมกุฏบอกว่าเคยมีคนตั้งใจจะแปลเหมือนกัน แต่พอจะทำก็เสียชีวิตไป (สุริยฉัตร ไชยมงคล เริ่มแปลไว้ส่วนหนึ่ง) อาศัยความเชื่อศรัทธา คือว่ามีเจตนาดี คิดว่าชีวิตเซร์บันเตสลำเค็ญ เขียนภาคแรกก็ยังไม่รวย เขียนภาคสองเสร็จก็เสียชีวิต อาภัพคับแค้น หลุมฝังศพอยู่ไหนก็ไม่รู้ ไปพิพิธภัณฑ์บ้านเกิดของเซร์บันเตส ไปคุยกับแผ่นป้ายว่าดิฉันตั้งใจยิ่งยวดจะแปลหนังสือท่าน เพราะอ่านแล้วสนุก ได้รับความรู้มากมาย อยากให้คนไทยได้อ่านในภาษาไทย ตอนทำก็อธิษฐานให้งานสำเร็จลุล่วงด้วยดี ระหว่างทำงานมีปัญหา ดิฉันต้องทำงานตามร้านกาแฟเงียบๆ ทำจนปิดไป 2 ร้าน ทำงานไปฝากหนังสือไป ออกไปเดินเล่น คิดว่าเซร์บันเตสส่งร้านกาแฟมาให้<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : ผีเสื้อบวงสรวงกันเยอะ คุณวิกรัยบวงสรวงเรื่องทำปก อุปสรรคเยอะมาก 2,000 เล่มแรกเสีย สถานทูตให้พิมพ์ 2 เล่มถวายเป็นปกหนัง, 200 เล่มพิมพ์กระดาษอาร์ตมอบให้สถานทูต และมีเงื่อนไขให้ขาย 2,000 เล่ม พิมพ์เสร็จเย็บเชือกเสร็จ เคาะสันโค้ง ขึ้นตัวอย่างมาให้ดู ก็ดีใจว่าหนังสือสวยที่สุดในโลก ล้อตัวเองว่าเอ๊ะ ลูกใครนะ ทำงานเก่งจัง นอนกอดได้ไม่กี่คืน ไปเห็นว่ามีหน้าหนึ่งรูปไม่ชัด เปิดไปทีละหน้า มือไม้สั่น ทุกกรอบมีตำหนิ (1 กรอบมี 8 หน้า) จะทำอย่างไร มันจะแย่แล้วละ คุณลองคิดดูว่า 2,000 เล่มเป็นเงินเท่าไร ไม่อยากคิด หัวใจอัศวิน<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : ชรา<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : จึงบอกร้านเพลทให้ทำเพลทอีกชุด หาโรงพิมพ์ใหม่จึงได้ออกมา 2,000 เล่มแรกอยู่ที่เราประมาณ 8 เล่ม นอกนั้นเอาไปตัดขายเป็นเศษกระดาษ มีคนถามว่าทำไมไม่เอาไปบริจาค เวลาเราให้ของใครจะให้ของดีที่สุด ของบูดของเสียจะอยากเอาไปให้เขาหรือ เวลาให้หนังสือใคร จะเลือกหนังสือที่ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด เพราะมันอยู่ไปอีกหลายปี ถ้าเอาหนังสือชำรุดไปให้เขา เขาจะรู้สึกอยางไร เงินหาได้ ความรู้สึกที่จะทดแทน มันคืนมาไม่ได้ นี่คือเซร์บันเตส มีอะไรมาเล่นตลอดเวลา<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. สว่างวัน</span> : ท่านช่วยเรา เลื่อนกำหนดเวลาเสด็จของกษัตริย์สเปน จากเดิมวันที่ 5 ธันวาคม<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : เราทำเสร็จตามกำหนดเดิม มีฉบับพร้อมมอบให้ แต่ไม่ดีเท่า<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. สว่างวัน</span> : ฉากหนึ่งที่แปลคือฉากซานโช่ถูกโยนขึ้นลง เราไม่รู้ว่าเรือนแรมยุคนั้นเป็นอย่างไร ไม่มีเล่มที่มีภาพประกอบ นึกภาพไม่ออกว่าโยนซานโช่ในบ้านหรือนอกบ้าน อ. วัลยาบอกว่าต้องหาให้เจอว่าเรือนแรมเป็นอย่างไร พบเล่มที่มีรูปประกอบ จีงรู้ว่ามีประตูใหญ่ มีรั้วเตี้ยๆ ล้อม มีอาคารสองชั้น ไม่ใช่โยนในอาคารแต่โยนข้างนอก<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : ตลอดเวลาที่ผ่านม ผมโมโห อ. สว่างวันมาก แต่พูดอะไรไม่ออก ผมพยายามนึกว่าเกิดสมัยเซร์บันเตส แต่พอไม่มีภาพ คุณนะคุณเอ๋ย มันยาก เซร์บันเตสเล่นกับเราตลอดเวลา ให้ อ. สว่างวันหาฉบับมีรูปประกอบให้จากสเปน ก็มีแต่รูปไม่ดี คุณภาพไม่ดี ไม่คม กระดาษปรูฟราคาถูก<br /><br />ตอนกำลังกลุ้ม เพิ่งออกจากโรงพยาบาลคนที่หัวใจสลายเนี่ย ต้องมาปวดหัวจัดอาร์ตเวิร์ก จัดไปๆ จัดเผื่อมาแทรกรูป บ่นกับคุณอภิชัย (บรรณาธิการฝ่ายศิลป์) ว่าแย่แล้ว เกียรติยศในการทำหนังสือคงไม่เหลือ เพราะหารูปประกอบที่ดีไม่ได้ เขาฟังแล้วก็เฉยเป็นเดือน วันหนึ่งเขามาบอกว่ามีรูปประกอบของดอเร่ชุดหนึ่ง เกี่ยวกับดอนกิโฆเต้ คุณอภิชัยไปดูเรื่อง สู่ฝันอันยิ่งใหญ่ แล้วไปเที่ยวร้านหนังสือ เป็นหนังสือรวมรูปเฉพาะภาคแรก เป็นภาพสุดวิเศษ คมชัดมาก ไปซื้อที่พัฒน์พงษ์ (ตอนกลางวัน ตอนนั้นมีร้านหนังสือชื่อ Bookseller ที่คุณอภิชัยมักไปเดินหาหนังสือศิลปะมาสะสมบ่อยๆ) รูปประกอบผีเสื้อจะดีมาก พอหนังสือเสร็จก็มาคิดว่าเล่มสองจะทำอย่างไร วันหนึ่งอะไรดลใจให้จัดนิทรรศการ ที่จริงงานอย่างนี้ไม่เคยอยู่ในหัวผม ผมไม่เคยอยากเจอผู้คนมากกว่า 5 คน แต่มีอะไรดลใจให้จัดงาน และจัดที่หอสมุดแห่งชาติ จึงโทรหา อ. วัลยา ขอให้ใครช่วยหาหนังสือดอนกิโฆเต้ฉบับภาษาต่างๆ<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : คุณปอลอายุ 82 ปี แต่งงานกับ อ. สอนภาษาฝรั่งเศสคนไทย จึงบอกให้คุณปอลช่วยจัดหาดอนกิโฆเต้ฯ ฉบับฝรั่งเศสที่มีภาพประกอบของดอเร่ คุณมกุฏต้องการฉบับพิมพ์ครั้งแรก คุณปอลไปร้านขายของเก่าอยู่ 4 ครั้งจึงได้มา<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : ได้ภาพประกอบหนังสือเล่ม 2 อย่างสมบูรณ์ในตู้ (งานนิทรรศการ) เป็นหนึ่งในจำนวนไม่กี่ชุดที่หลงเหลือในโลกนี้<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : ภาพประกอบไม่มีลิขสิทธิ์แล้ว แต่ค่าถ่ายภาพของหอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศสคิดแพงมาก เลยขอจากหอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศสไม่ได้<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : ทั้งหมดประมาณ 300 รูป<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : ภาพประกอบช่วยมากในการแปล ใน เออเฌนี บรรยายผู้หญิงตอนเจอคนรัก มีความสุขมาก เธอหวีผม นึกไม่ออกว่าผมจะเป็นอย่างไร มีภาพประกอบสมัยเดียวกับที่บัลซัคเขียน เมื่อเห็นภาพก็อ๋อๆๆ แปลได้ อย่าเลือกภาพประกอบจากสมัยหลัง การแต่งกายจะเปลี่ยนไป ใน สาวสามสิบ บัลซัคพูดถึงนโปเลียนมาสวนสนาม บรรยายกองทัพ ทหารแต่ละกองแต่งตัวอย่างไร ฝรั่งเศสมีหนังสือภาพทหารและการแต่งกาย หนังสือภาพช่วยนักแปลค่ะ ช่วยในการแปล<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณสุวัฒน์</span> : ดอนกิโฆเต้ฯ ภาค 2 มีกำหนดแล้วเสร็จเมื่อไหร่<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : ชั่วชีวิตนี้ ผมคิดว่า อ. สว่างวันจะทำเล่ม 2<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. สว่างวัน</span> : จะไปบนใหม่ที่บ้านเกิดเซร์บันเตส<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : ขอให้ทำในเวลาปีสองปีนี้ ยังแข็งแรง<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. สว่างวัน</span> : ต้องทำปริญญาเอก อยากแปลเรื่องสั้น 12 เรื่องของเซร์บันเตส เพราะสนุกเหมือนกัน เรียกปริญญาเอกพร้อมแปลเรื่องสั้นยังพอเห็นภาพ<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : อย่าเอาเวลาไปแปลเรื่องสั้น ทำปริญญาเอกให้เร็วที่สุดแล้วค่อยทำเรื่องสั้น<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : ยังไงก็รีบๆ หน่อยแล้วกัน<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณสุวัฒน์</span> : บางท่านไม่เคยเข้ารับอบรมการตรวจแก้ต้นฉบับ บทบาทผู้แปลกับ บ.ก. เป็นอย่างไร<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : ต้องมีใครสักคนมาอ่านก่อน ตั้งคำถาม ผู้แปลคิดว่าตัวเองถ่ายทอดความหมายถูกต้องครบถ้วนแล้ว แต่ไม่ใช่ บรรณาธิการมาอ่านก่อนตีพิมพ์จะเห็น ดังที่คุณมกุฏบอก เพื่อปกป้องวรรณกรรม ปกป้องนักเขียน เพื่อให้ได้อ่านงานที่มีคุณภาพ<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : เสียดายคุณณรรฐ เขารู้ว่าคำๆ นี้อยู่หน้าไหน คำๆ นี้มีกี่คำ ผมว่าเขาไม่ใช่คน เขาเป็นอะไรก็ไม่รู้ เช่น แก้วน้ำ เขาบอกได้ว่าอยู่หน้า 83 บรรทัดที่ 6 มันถึงขนาดนี้เลยนะ จะไม่ให้ผมแปลกใจได้อย่างไรว่าวันหนึ่งเขาจะขับรถออกไปแล้วหายไปเลย<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณสุวัฒน์ </span>: พูดถึงหนังสือแปล จะเห็นภาพผู้แปลชัดเจนกว่าบรรณาธิการ<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : สำนักพิมพ์ที่บอกว่าเป็นความรับผิดชอบของผู้แปลพอแล้ว คิดผิด เข้าใจผิด เป็นคนที่ไม่รับผิดชอบ ในที่นี้น่าจะมีคนจากสำนักพิมพ์ นี่เป็นความรับผิดชอบของสำนักพิมพ์ งานแปลที่คุณตีพิมพ์ออกไป สำนักพิมพ์รับผิดชอบมากกว่านักแปล<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : ประเทศชาติรับผิดชอบ เคยเห็นข่าวช้างตกหล่ม นักแปลเหมือนช้าง ต้องมีสักวันที่ช้างพลาด สะดุดขาตัวเอง วันนี้พูดโดยเฉพาะเรื่องงานใหญ่ ต้องรีบขาย ปลายเดือนนี้ต้องรีบทำ รีบเอามาลดราคากระหน่ำที่ศูนย์สิริกิติ์ ถ้าเรามัวรอให้เอกชนทำ งานแปลอยางนี้ต้องลงทุนมาก ทูตต้องขอให้นักแปลหยุดงานสอน ค่าใช้จ่ายเยอะ สำนักพิมพ์ผีเสื้อปิดสำนักพิมพ์ 1 ปี ไม่ได้ทำอะไรเลยเพื่อทำดอนกิโฆเต้ฯ อย่างเดียว ปีด 2 ปีตอนทำสถาบันหนังสือแห่งชาติ ถ้าไม่มีใครเริ่ม จะมีใครทำ 12-13 ปีที่แล้ว ผมไปพบ อ. วัลยาที่ห้องทำงาน คุยกัน ผมแปลกใจทำไมผมไป ปกติผมไม่เจอคนแปลกหน้า ผมป่วยอยู่ ผมกลัว กลัวคน ไม่ค่อยอยากเจอคน คงเพราะหนังสือทำให้ไม่อยากเจอคน ผมพูดเร็วกว่านี้เยอะ ผมพูดไม่รู้เรื่อง อยู่ยาวมาก 4 ชั่วโมง<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : พารานอยด์มาก พูดเสียงดัง พูดแบบควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่มองหน้าผู้พูด มองหน้าต่าง พูดดังมาก พอคุณมกุฏไปแล้วต้องไปขอโทษเพื่อนร่วมห้องทำงาน<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : มาคุย ระบายความอึดอัดในใจให้ฟัง ผมเรียนน้อย รู้น้อย ทำอย่างไรจะอ่านหนังสือวิชาการรู้เรื่อง ไม่เข้าใจ อ. ช่วยหน่อย<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : เพราะใช้ภาษาไทยโครงสร้างภาษาต่างประเทศ<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : อาจารย์ช่วยสอนวิชาตรวจต้นฉบับในมหาวิทยาลัยหน่อยได้ไหม คนอย่างผมจะได้อ่านรู้เรื่อง จนวันหนึ่ง ผมตื้นตันมาก อ. ส่งต้นฉบับ ก็องดิด มาให้ บอกว่ากำลังแปลหนังสือ ผมอ่านเสร็จโทรบอกว่า มันดีแต่มือไม้ผมไม่สุข ขอทำอะไรกับต้นฉบับ อ. อนุญาต เท่านั้นแหละ ผมแก้เลย แก้ไปเยอะเลย<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : ตอนแปลหนังสือโง่ 100% ใช้สรรพนามผิด ศตวรรษ 18 ใช้ผม-คุณ คุณมกุฏสุภาพมาก ถามว่าควรใช้คำนี้หรือ<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : ตอนแรกสุภาพมากเพราะกลัวเขาจะด่า ผมไปคุยให้ใครฟัง เขาบอกว่าไปตรวจแก้ของแกได้ยังไง แกดุจะตาย<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. วัลยา</span> : ตรวจแก้ต้นฉบับต้องอธิบายได้ ถ้าอธิบายได้ก็รับการตรวจแก้กันได้ ดิฉันกับ อ. สว่างวันสนิทกันได้เพราะการทำงาน<br /><br /><span style="color:#993399;">คุณมกุฏ</span> : บรรณาธิการห้ามเอาข้อบกพร่องของนักแปลที่คุณตรวจแก้มาบอกในที่สาธารณะ ผิด ทำไม่ได้ ชีทที่สอนจะไม่มีชื่อผู้แปล ไม่มีชื่อเรื่อง บางครั้งต้องเปลี่ยนชื่อตัวละคร นักแปลต้องไม่มีสำนวนเป็นของตัวเอง </div>Don de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3730209939703745791.post-50065836644568848832007-03-10T09:56:00.001+07:002007-03-10T09:56:14.638+07:00งานวันที่เจ็ด กับเทพศิริ สุขโสภา<span style="color: rgb(102, 51, 102);">รายงานโดย เจ้าหญิงมิโกมิโกน่า</span><br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi9XzHQDyXhgoukXx4DXoZ5NAQj0MNduLAmqFB8ma5V67qyumf2Yn6z-EnBFzGzy7_neHAv-cwv6Ruby7SCmskC6AGXswykuvRm4ZDteWTXpfqqxPShIghuW3EIeQo2Afz-sXddf4iMdHI/s1600-h/thepsiri.jpg"><img style="margin: 0px auto 10px; display: block; text-align: center; cursor: pointer;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi9XzHQDyXhgoukXx4DXoZ5NAQj0MNduLAmqFB8ma5V67qyumf2Yn6z-EnBFzGzy7_neHAv-cwv6Ruby7SCmskC6AGXswykuvRm4ZDteWTXpfqqxPShIghuW3EIeQo2Afz-sXddf4iMdHI/s320/thepsiri.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5040116387815398994" border="0" /></a><br /><br />งานเมื่อวานนี้จัดเป็นวันที่ 7 แล้ว มีผู้ร่วมงานทั้งสิ้น 82,526 คน เฉพาะเมื่อวานนี้มีผู้ชมกว่า 8 พันท่าน เนื่องจากเชิญศิลปินมีชื่อเสียงมาวาดรูปดอนกิโฆเต้ ในงาน 'วาดรูปตามดอนฯ' โดยคุณเทพศิริ สุขโสภา ซึ่งเป็นนักเขียนเรื่องสำหรับเด็ก นักวาดรูป นักผจญภัย นักมวย อาจารย์สอนหนังสือม. เชียงใหม่ ครั้งหนึ่งเขาได้รับเชิญไปญี่ปุ่น ต้องทำหนังสือเดินทาง เขากรอกในช่องอาชีพว่า ไม่มีอาชีพ เขาเลยไม่ให้ไป ต้องสอบสวนอยู่นาน บุคคลผู้นี้สำคัญที่สุดคนหนึ่งในวงการหนังสือ เป็นผู้อุทิศตนเพื่องานศิิลปะ<br /><br />งาน 'วาดรูปตามดอนฯ' วันนี้ รูปที่วาดจะนำมาประมูลหารายได้แก่หอสมุดแห่งชาติ โดยไม่หักค่าใช้จ่าย (เพราะถ้าหักแล้ว รายได้ที่มอบให้หอสมุดแห่งชาติจะเป็นลบ ซึ่งรายได้ที่เป็นลบเขาไม่เรียกกันว่ารายได้) งานนี้มีคุณคมสัน นันทจิต เป็นผู้ดำเนินรายการ<br /><br />คุณเทพศิริคุยสนุกมากๆ งานวันนี้จึงมีรสชาติอย่างยิ่ง ฟังการเล่าและการแสดงท่าทีก็เพลินไม่รู้จบ ก่อนจะเริ่มวาดรูป คุณเทพศิริคุยอยู่นานและบอกว่ากำลังวาดรูปโดยใช้ 'สีน้ำลาย' อยู่เนี่ย ตอนหนึ่งเขาบอกว่าอ่านดอนกิโฆเต้แล้วภาษาสวยมาก ถ้าเป็นรูปเขียนถือว่าเป็นรูปที่มีสีสันทุกอย่าง<br /><br />ถึงตอนวาดรูป คุณเทพศิริวาดทั้งหมด 4 รูป ด้วยลีลาแพรวพราว งานนี้มีเสน่ห์และใครๆ ก็ต้องค่อยขยับเก้าอี้เข้าใกล้เวทีมากขึ้น ก็อยากเห็นลีลาการวาดชัดๆ นี่นะ มองแววตาผู้เข้าชมแล้วจะเห็นประกายชนิดหนึ่ง ที่เป็นความทึ่งบวกความอัศจรรย์ งานวันนี้จึงมีความสุขมาก หลังวาดภาพแรก คุณเทพศิริอยากลงมาวาดรูปข้างล่าง ให้ใกล้ชิดผู้เข้าร่วมงานยิ่งขึ้น จึงย้ายอุปกรณ์ลงจากเวที<br /><br />ข้าพเจ้าทึ่งความสามารถของคุณเทพศิริยิ่งนัก ดูเขาวาดรูปแล้วสนุก อยากจะบรรยายเป็นถ้อยคำได้ว่าสนุกอย่างไร แต่ข้าพเจ้าอับจนถ้อยคำจะสรรหามาเล่า เพราะตัวอักษรสองมิติไม่อาจถ่ายทอดรสชาติทั้งภาพ เสียง และการแสดงออกของคุณเทพศิริได้ มือไม้ที่ตวัดพู่กันหรือดินสอสีไปมา เสียงประกอบ (นึกถึงบรูซ ลีตอนฉากต่อสู้ ที่มีเสียงประจำตัว คุณเทพศิริมีน้ำเสียงประจำตัวตอนวาดรูปเช่นกัน) ขอแนะนำว่าถ้าเป็นไปได้ ลองหาโอกาสไปดูคุณเทพศิริวาดรูป จะประทับใจเป็นอันมาก<br /><br />ตอนหนึ่งที่ข้าพเจ้าอยู่ใกล้ๆ ได้บอกคุณเทพศิริเบาๆ ว่าวาดรูปเก่งจังค่ะ เขาหันมองข้าพเจ้าแล้วบอกว่า "ใช่ไหมล่ะ" แล้วประกาศต่อด้วยเสียงอันดังว่า "อิจฉาละสิ" แล้วหัวเราะลั่น<br /><br />ข้าพเจ้าเพิ่งได้รู้ว่าวลีหลังนี้ นำมาใช้อย่างน่ารักก็ได้เหมือนกัน<br /><br />ชักจะเล่าบรรยากาศงานไม่เป็นไปตามลำดับ เหมือนเวลาซานโช่เล่านิทานเสียแล้ว ในงานนี้ คุณเทพศิรินำภาพซ้อมมือในกระดาษเล็กๆ มาปึกหนึ่ง ผู้ร่วมงานคนใดอยากได้ ให้เอาหนังสือดอนกิโฆเต้หนึ่งเล่มมาแลกเอาไปได้<br /><br />หลายต่อหลายคนจึงได้รูปสวยกลับบ้านด้วยความสุขใจ<br /><br />(งานวันอื่นที่ยังไม่ได้เล่า จะกลับมาเล่าเพิ่มเติมในวันหน้า โปรดติดตาม)Don de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3730209939703745791.post-76956037543394231142007-03-10T09:18:00.001+07:002007-03-10T09:18:34.881+07:00ข่าวงานนิทรรศการจาก ผู้จัดการ“ดอนกิโฆเต้” วรรณกรรมแปล...ตามพระบัญชากษัตริย์ จากผู้จัดการ<br /><br /><a href="http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9500000026651">http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9500000026651</a>Don de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3730209939703745791.post-24451270601313475112007-03-09T08:11:00.001+07:002007-03-09T08:11:42.266+07:00ภาพบรรยากาศงานนิทรรศการ<span style="color:#993399;">รายงานโดย เจ้าหญิงมิโกมิโกน่า</span><br /><br /><br />ข้าพเจ้าขอนำภาพบรรยากาศงานนิทรรศการมาฝากท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน จำนวนผู้ชมงานทั้งหมดจนวานนี้ มีผู้ร่วมงานแล้วสองหมื่นแปดพันกว่าคน (จำตัวเลขแน่นอนไม่ได้) เฉพาะเมื่อวานมีผู้เข้าฟังสามพันกว่าท่าน ผู้จัดทำขอขอบคุณด้วยความยินดียิ่ง<br /><br /><br />ขณะเลือกรูปมาฝาก ข้าพเจ้าฟังเพลง Clair de Lune ไปด้วย เพลงไพเราะขาดใจนี้ทำให้จิตใจดีงาม เหมาะกับการเลือกภาพงดงามเหล่านี้ ขอเชิญชม<br /><br /><br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7z7j4fKinBkrWN5lybpiniV5psyBPPjLIZXSeQBlj6YcfXAYi6gVETEC-LnhwznyB95ks2kee84rOqfnJqs0QT7BUxcB6YZpTqp7UXtodLVEhBuVFU6cLiuaaD2lME1nSVtKQ5HCt45k/s1600-h/m1_entrance.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5039723018454308082" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7z7j4fKinBkrWN5lybpiniV5psyBPPjLIZXSeQBlj6YcfXAYi6gVETEC-LnhwznyB95ks2kee84rOqfnJqs0QT7BUxcB6YZpTqp7UXtodLVEhBuVFU6cLiuaaD2lME1nSVtKQ5HCt45k/s320/m1_entrance.jpg" border="0" /><p align="center"></a> ภาพทางเข้างาน ข้าพเจ้าเล่าไปแล้วว่าเข้าไปจะเจอพัดลมต้อนรับเป็นอันดับแรก </p><p> </p><p align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhtNOnDO3S8V2jD006te93RI7NKHCpN4r6CVjsOxTVPnfDtBiaMRVn6WAmTPojskytiWkFUt5pGZTfHtB-T8Thrx1c3WHoufCGoxMmvTnA0C5zmOZxoMTKwNRhE-3hj7eslDeXZVj1Py84/s1600-h/m3_hallwide2.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5039719896013083714" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhtNOnDO3S8V2jD006te93RI7NKHCpN4r6CVjsOxTVPnfDtBiaMRVn6WAmTPojskytiWkFUt5pGZTfHtB-T8Thrx1c3WHoufCGoxMmvTnA0C5zmOZxoMTKwNRhE-3hj7eslDeXZVj1Py84/s320/m3_hallwide2.jpg" border="0" /></a><br />ภาพห้องโถงทางเข้า ภาพวาดบนผ้าวาดโดยฝ่ายศิลป์ของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ กดที่ภาพได้เพื่อดูรูปใหญ่<br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2Nxg5qyOpDHpbRwU_p4Y92wPpDvDaUbIhL8M3m-WbOJBfhN-uxqJm_zHJkCPUIOJka63zaScrxWCasSFWTznW1jUTWdVMaA0qo71f19DKTBmoxK4dJcKeGMUAvMVRy8JxYKSdhlAMzII/s1600-h/m2_hallwide1.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5039720355574584402" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2Nxg5qyOpDHpbRwU_p4Y92wPpDvDaUbIhL8M3m-WbOJBfhN-uxqJm_zHJkCPUIOJka63zaScrxWCasSFWTznW1jUTWdVMaA0qo71f19DKTBmoxK4dJcKeGMUAvMVRy8JxYKSdhlAMzII/s320/m2_hallwide1.jpg" border="0" /></a><br />พระเอกของงาน<br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhVS8SDMfb1YA1CelgMdlIO-sF7SgocXMKMgCy3ENPEyVGipRw5JBAfranEtHyHihl1sMswkE8xB_DkYzt15GnIZWPewrQFIn_APNbu-8ND07IvDwWSa31Op1YvoTmwK5mbknDnBMT5MfA/s1600-h/exh1.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5039720514488374370" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhVS8SDMfb1YA1CelgMdlIO-sF7SgocXMKMgCy3ENPEyVGipRw5JBAfranEtHyHihl1sMswkE8xB_DkYzt15GnIZWPewrQFIn_APNbu-8ND07IvDwWSa31Op1YvoTmwK5mbknDnBMT5MfA/s320/exh1.jpg" border="0" /></a><br />บรรยากาศทั่วไป<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhPIL2-F3gZAjd5ANuKBIppaTsKPDMXKIfM8Y-LluUbwdjDgYEJupKjs8ALA_Bwf2cCEx1i1MqP3DGDpW2KH6WeMd5MxtgIZPHl_9ZrnD6j-vvjjQkc1DshUt6cKs56a9slCIYmEjxPA9Y/s1600-h/exh2.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5039720647632360562" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhPIL2-F3gZAjd5ANuKBIppaTsKPDMXKIfM8Y-LluUbwdjDgYEJupKjs8ALA_Bwf2cCEx1i1MqP3DGDpW2KH6WeMd5MxtgIZPHl_9ZrnD6j-vvjjQkc1DshUt6cKs56a9slCIYmEjxPA9Y/s320/exh2.jpg" border="0" /></a><br />ตัวอย่างของแสดงในงานนิทรรศการ เป็นสแตมป์ดอนกิโฆเต้<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhXA7AREfNWd7YUaE8zvXQMd6UlgC1HUROTmpNXIonnRsJ_4WImLsUF20YZZKEjxE5aMW8uqKJKJFtH_aI_yltqnvWddZjjlL0808VLaJ720eF0UAkwZ3n2OC6j22iVttpuUIppQsCSexA/s1600-h/exh3.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5039720819431052418" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhXA7AREfNWd7YUaE8zvXQMd6UlgC1HUROTmpNXIonnRsJ_4WImLsUF20YZZKEjxE5aMW8uqKJKJFtH_aI_yltqnvWddZjjlL0808VLaJ720eF0UAkwZ3n2OC6j22iVttpuUIppQsCSexA/s320/exh3.jpg" border="0" /></a><br />หนังสือดอนกิโฆเต้ในภาษาต่างๆ<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEicJ2VcUIR_bzPHZsN2FNq6N3Gd78CkkngPhAYn7L2_4uFlVdwznvL0lWdfJLQ-uR-8hz2wJ6SWIy3dyOzxIVYeNRs04MX5Nak4jjVPZgViJ3E4-rXMMGMgcv9Fen8lV1F5vPXLIpUPOIA/s1600-h/exh4.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5039720974049875090" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEicJ2VcUIR_bzPHZsN2FNq6N3Gd78CkkngPhAYn7L2_4uFlVdwznvL0lWdfJLQ-uR-8hz2wJ6SWIy3dyOzxIVYeNRs04MX5Nak4jjVPZgViJ3E4-rXMMGMgcv9Fen8lV1F5vPXLIpUPOIA/s320/exh4.jpg" border="0" /></a><br />หนังสือดอนกิโฆเต้ฉบับภาษาฝรั่งเศส ปี 1863 ที่มีภาพประกอบโดย กุสตาฟ ดอเร่ เป็นครั้งแรก<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEilNgNsPThri7hNT-uw_JdNJsWzg5sjcuPAV2MJ0Lvvgvwhn1-11XUULK6zjL5VGbvNfBnvWwRmQN630nGOHv0cUdrIBMMJct2EAWLbIWdYp6LaInEL2g3AIqGof6O4L-eUIAqYQeoODVU/s1600-h/exh5.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5039721214568043682" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEilNgNsPThri7hNT-uw_JdNJsWzg5sjcuPAV2MJ0Lvvgvwhn1-11XUULK6zjL5VGbvNfBnvWwRmQN630nGOHv0cUdrIBMMJct2EAWLbIWdYp6LaInEL2g3AIqGof6O4L-eUIAqYQeoODVU/s320/exh5.jpg" border="0" /></a><br />ตัวอย่างหนังสือฉบับพิมพ์จำหน่ายสาธารณะครั้งแรกจำนวน 2,000 เล่ม ที่ถูกทำลาย เพราะคุณภาพการพิมพ์ไม่ได้มาตรฐาน (พูดจาภาษาซานโช่คือพิมพ์ห่วย) เชิญทัศนาได้ด้วยตนเอง<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjyxsNRB-HcIMKgL6THKjPGOsJfgfea2I9T4eNf1YMCBEM8fczSvTydiQM79jjY3fkyovbO9gHbGcYyWc-ZaXA1q_4JqoBdvbBg2p2BLUUG9ZyTKIBUdIPlL0rzzEPozoSw4VV4urzAxiU/s1600-h/exh6.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5039721558165427378" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjyxsNRB-HcIMKgL6THKjPGOsJfgfea2I9T4eNf1YMCBEM8fczSvTydiQM79jjY3fkyovbO9gHbGcYyWc-ZaXA1q_4JqoBdvbBg2p2BLUUG9ZyTKIBUdIPlL0rzzEPozoSw4VV4urzAxiU/s320/exh6.jpg" border="0" /></a><br />ตู้งานนิทรรศการนี้ แสดงรูปปั้นหุ่นดอนกิโฆเต้โดยฝ่ายศิลป์ของสำนักพิมพ์ และเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกต่างๆ<br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj3L_bB7Uccsv1sQ2AtUi564IJ4omD7RR7uD0YDgnfZebk8HxcKyTmERAfAwg-ADy5bRIInzGygja0BCrBK87MtVA7iwDG1bgo5NBV2rkJxKdYZrBFPIRC6yNQ0C3Pgfw07MQGlI63i2A8/s1600-h/exh7.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5039722120806143170" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj3L_bB7Uccsv1sQ2AtUi564IJ4omD7RR7uD0YDgnfZebk8HxcKyTmERAfAwg-ADy5bRIInzGygja0BCrBK87MtVA7iwDG1bgo5NBV2rkJxKdYZrBFPIRC6yNQ0C3Pgfw07MQGlI63i2A8/s320/exh7.jpg" border="0" /></a>"ขุนนางผู้นี้จ่อมจมอยู่แต่นิยายอัศวิน เขาอ่านตั้งแต่ย่ำค่ำจวบจนย่ำรุ่ง จากฟ้าสว่างจนฟ้ามืด เมื่อนอนน้อยแต่อ่านมาก สมองก็พลันเหือดแห้งถึงแก่เสียจริต" (หน้า 44)<br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjKZIe-Zamd9j2sAHD0gGmBHQYi1A5XdKsHADRb0Q3FDQQYYILbUE_Hn2yF_SYg4TuiMqIPBtgDp0T0860gSaqRoirElWogqXIxdogR12IbThuuf7DhwAJDAbTWkV_BPebBG5FZDJWzomk/s1600-h/exh8.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5039722361324311762" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjKZIe-Zamd9j2sAHD0gGmBHQYi1A5XdKsHADRb0Q3FDQQYYILbUE_Hn2yF_SYg4TuiMqIPBtgDp0T0860gSaqRoirElWogqXIxdogR12IbThuuf7DhwAJDAbTWkV_BPebBG5FZDJWzomk/s320/exh8.jpg" border="0" /></a> รูปปั้นโดยผีเสื้อ พร้อมเหรียญกษาปณ์ต่างๆ ที่ผู้แปลนำมาฝากจากสเปน เรียกว่าแลกเงินไปจนหมดเนื้อหมดตัว ได้มาให้ชมอย่างที่เห็น<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj-8hPsHbgVhWniMFJ4rjwoewdMDFcTxijnnaz3d5nnrfzIRwe4Lrz1dIXxO6hJXEfj4NVxCTTd2SuTec8nKSoU7Z00Mm_3dqOtDM21nCOfIDF01MQFaQ2z2Ql2YBFjHfNdcFgeQ-cM4wk/s1600-h/musical.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5039722438633723106" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj-8hPsHbgVhWniMFJ4rjwoewdMDFcTxijnnaz3d5nnrfzIRwe4Lrz1dIXxO6hJXEfj4NVxCTTd2SuTec8nKSoU7Z00Mm_3dqOtDM21nCOfIDF01MQFaQ2z2Ql2YBFjHfNdcFgeQ-cM4wk/s320/musical.jpg" border="0" /></a> อดใจนำภาพจากละครเพลงสู่ฝันอันยิ่งใหญ่มาให้ดูไม่ได้ นี่คือภาพดอนกิโฆเต้ (คุณศรัณยู) และซานโช่</p><p align="left"> </p><p align="left">ขอปิดท้ายด้วยวาทะของดอนกิโฆเต้และซานโช่ ปันซ่า เมื่อจบการเดินทางในภาคแรก เขาว่าไว้เช่นนี้</p><blockquote><p align="left"><span style="color:#000066;">เมื่อเป็นอัศวินพเนจรแล้ว ข้ากลายเป็นคนกล้า อ่อนโยน ใจกว้าง<br />กิริยาดี เอื้อเฟื้อ สุภาพ องอาจ นุ่มนวล รู้จักอดกลั้น และทนยากลำบากได้</span></p><p align="left"> -- ดอนกิโฆเต้</p><p align="left"> </p><p align="left"><span style="color:#330099;">ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้น่าพอใจยิ่งกว่าการที่ชายซื่อสัตย์คนหนึ่งได้เป็นอัศวินสำรองของอัศวินพเนจรผู้ออกเดินทางผจญภัย<br />จริงอยู่ ผลของการผจญภัยส่วนมากไม่เป็นดังประสงค์ ... บางคราต้องเจ็บตัว<br />แต่ก็เป็นสิ่งงดงามอยู่หนา ทั้งการแสวงหา การผจญภัย ลัดเขาเข้าป่า ปีนผาขมปราสาท<br />ค้างคืนในเรือนแรมตามแต่ใจปรารถนา ไม่ต้องจ่ายเงิน</span></p><p align="left"> -- ซานโช่<br /></p></blockquote><p></p>Don de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3730209939703745791.post-5670352703937962402007-03-09T06:12:00.001+07:002007-03-09T06:12:40.624+07:00งานวันที่สี่ ฉบับเนื้อหา<span style="color:#993399;">รายงานโดย เจ้าหญิงมิโกมิโกน่า</span><br /><br />งานเสวนาหัวข้อ 'ในฐานะคนอ่าน ดอนกิโฆเต้ฯ' มีผู้ร่วมเสวนาบเวทีได้แก่ อ. ปณิธิ หุ่นแสวง อาจารย์ภาควิชาภาษาฝรั่งเศสจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คุณสุวัฒน์ หลีเหม, อ. สว่างวัน ไตรเจริญวิวัฒน์ ผู้แปลหนังสือดอนกิโฆเต้ฯ ดำเนินรายการโดย อ. ภาสุรี ลือสกุล อาจารย์ภาควิชาภาษาสเปน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br /><br /><span style="color:#993399;">ในฐานะที่ อ. ปณิธิ สอนวรรณคดี อ่านแล้วมีมุมมองอย่างไร<br /></span><br />เล่มนี้คงเป็นวรรณกรรมสเปนเล่ม 3 ที่อ่านแต่เป็นเล่มขนาดใหญ่สุด ที่จริงเป็นหนังสือเล่มใหญ่ที่สุดที่ผมอ่าน รองจากพระอภัยมณีตอนอยู่ปี 1 ถ้าถามความรู้สึกคงเป็นความรู้สึกของคนทั่วๆ ไป คือรู้สึกภูมิใจที่อ่านจบ แต่ความภูมิใจอีกอันคือได้อ่านหนังสือสำคัญเล่มหนึ่งของโลก อ. ภาสุรีบอกว่าผมเป็นอาจารย์สอนวรรณคดีฝรั่งเศส แต่เวลาอ่านหนังสือ เราพอจะรู้ว่าหนังสือนี้เป็นหนังสือสำคัญที่สุดของโลก ผมเคยเห็นหนังสือที่พูดถึงหนังสือสำคัญของโลก เขาบอกว่า 3 เล่มสำคัญที่สุดคือ Divine Comedy ของดังเต้ บทละครของเช็คสเปียร์ และดอนกิโฆเต้ ของเซร์บันเตส บังเอิญผมถูกบังคับให้เรียนงานของดังเต้กับเช็คสเปียร์มาแล้ว ดังนั้นพออ่านเล่มนี้จบก็เท่ากับได้อ่านหนังสือของนักประพันธ์ยิ่งใหญ่ 3 เล่ม 3 คนพอดี ก็ตายได้แล้วนะฮะ ตาหลับแล้ว ไม่มีอะไรค้างคาในชีวิตอีกต่อไป<br /><br />อีกอย่างหนึ่ง ในฐานะที่เป็นครูสอนภาษาฝรั่งเศส ที่จริงชื่อดอนกิโฆเต้ หรือที่คนฝรั่งเศสออกเสียงว่า ดอนกิชอด เป็นชื่อที่กลับมาเสมอในภาษาฝรั่งเศส ดังนั้นแม้จะสอนภาษาฝรั่งเศส ก็น่าจะต้องรู้จักชื่อนี้ไว้ว่าหมายถึงอะไร เร็วๆ นี้หนังสือพิมพ์ข่าวประเภทไทม์หรือนิวสวีคของฝรั่งเศส ลงข่าวไล่เลี่ยกัน 2 ข่าว เช่นข่าวจากฉบับเดือนมกราคม ต้นปีนี้เอง เขาพูดถึงขบวนการหนึ่งเรียกว่าขบวนการลูกหลานดอนกิโฆเต้ เป็นขบวนการต่อสู้เพื่อคนที่ได้รับความอยุติธรรมในสังคม หรือพวกด้อยโอกาสเช่นไม่มีที่อยู่ ยากจน ชื่อขบวนการเหมือนกับคำสารภาพของผู้เข้าร่วมว่าเขามีความกล้า แต่การต่อสู้เพื่อคนด้อยโอกาสนี้เสมือนการต่อสู้กับสีลม เขาว่าอย่างนั้น ก็แล้วแต่เราจะเข้าใจว่าการต่อสู้กับสีลมหมายความว่าอย่างไร บทความอีกอันกล่าวถึงบาทหลวงฝรั่งเศสคนหนึ่ง ชื่อ อาเบ้ ปิแอร์ เป็นคนก่อตั้งสมาคมเพื่อช่วยเหลือคนยากจนด้อยโอกาสเหมือนกัน โดยเฉพาะคนไม่มีที่อยู่อาศัย กิจกรรมของสมาคมคือไปเก็บของเก่าๆ เอามาปรับปรุงตกแต่งแล้วขายใหม่ นำเงินไปการกุศล ทำคล้ายๆ พระพยอมนะฮะแต่ทำมาก่อนนานมาก บาทหลวงเพิ่งมรณภาพไปไม่นาน บทความนี้เป็นบทความเดือนมกราคมเช่นกัน ชื่อบทความว่า 'กำลังคอยดอนกิโฆเต้คนใหม่' เขาให้คำอธิบายสั้นๆ ว่าเมื่อไหร่คุณความดีที่เคยมีอยู่ในอดีต จึงจะกลับคืนมาอีก เหมือนกับว่าจะมีดอนกิโฆเต้คนใหม่กลับมา นี่คือความสำคัญของดอนกิโฆเต้ในวัฒนธรรมที่ผมทำงาน อีกสิ่งหนึ่งที่สังเกตได้คือ เวลาคนฝรั่งเศสหรือคนยุโรปเอ่ยถึงดอนกิโฆเต้ จะพบว่าให้ความสำคัญหรือตีความหมายต่างกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่คนอ่านหรือรู้จักดอนกิโฆเต้มาแล้วคงพอเข้าใจ<br /><br />ปี 1605 ดอนกิโฆเต้ตีพิมพ์ เป็นปีที่เช็คสเปียร์แสดงเรื่องแฮมเล็ต ปีซึ่งเซร์บันเตสตาย เช็คสเปียร์ก็ตายพร้อมกัน<br /><br />ที่สำคัญคือได้อ่านดอนกิโฆเต้แล้ว ได้อ่านนิยายที่นักเขียนทั่วโลกลงมติว่าดีที่สุด นี่เป็นนวนิยายดีที่สุดนะครับ ไม่ถูกใจก็แย่แล้ว ต้องขอบคุณผู้แปล ผู้พิมพ์ และขอบคุณตัวเองด้วยที่มีกำลังใจถือหนังสืออ่านไม่ให้ตกใส่หน้าอกนะฮะ<br /><br />อ. ภาสุรีเสริมว่า คำ ดอนกิโฆเต้ ปรากฏในเอกสารวิชาการเกี่ยวกับวิศวกรรมศาสตร์ เมื่อเปิดสารานุกรมดูจึงพบว่าถ้าใช้ในแวดวงวิชาการสายวิทย์ ดอนกิโฆเต้หมายถึงคนที่อ่านอะไรมากๆ แล้วอิน คิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้นเหมือนกัน<br /><br /><span style="color:#993399;">มุมมองคุณสุวัฒน์<br /></span><br />นี่คือหนังสือที่ว่ากันว่าดีที่สุดเล่มหนึ่ง ได้อ่านดอนกิโฆเต้ฯ แล้วเป็นความภาคภูมิใจ เมื่ออ่านจบอยากรู้ว่าโลกพูดถึงหนังสือเล่มนี้อย่างไร พบว่าข้อความในหนังสือส่งผลต่อคนแทบทุกมุมโลก หลากหลายสาขาวิชาชีพ อ่านผิวๆ คืออ่านสนุกมากถึงมากที่สุด<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. ปณิธิ อ่านหนังสือแล้วสนุกไหม<br /></span><br />สนุกครับ แต่มันสนุกเพราะต้องกับรสนิยมในการอ่าน ต้องกับวิถีทางการอ่านของผม ผมชอบมากเลยนะครับ มีความมหัศจรรย์มากมายในหนังสือเล่มนี้ ผมได้หนังสือฉบับเล่มใหญ่มา มีเอกสารเล่มบางๆ อธิบายคำ และอีกส่วนสัก 3-4 หน้าเป็นกระดาษว่างๆ สำหรับให้ผู้อ่านบันทึก ไม่พอครับ ต้องขนาดนี้นะครับ (ชูสมุดบันทึกหนาประมาณ 200 หน้า) อ่านไปก็จดไป จดข้ามไปข้ามมา ผมอยากเรียนว่าทำไมชอบหนังสือเล่มนี้มาก อ้อ ผมขอเปิดวงเล็บว่าผมอ่านหนังสือเล่มนี้เที่ยวเดียว อ่านไปจดไป ซึ่งไม่ควรอย่างยิ่งนะครับ คือควรอ่านอย่างที่คุณมกุฏอ่าน คืออ่าน 100 เที่ยวแล้วอยู่กับเขา 24 ชั่วโมงจนหนังสือเหม็นนะฮะ ของผมยังหอมอยู่ดีนะฮะ ยังไม่มีกลิ่นอะไรเลยนะฮะ<br /><br />ความมหัศจรรย์แรกที่พบคือในอารัมภบท สะดุดใจผมมาก ผู้ประพันธ์เขียนว่า "แม้ข้าพเจ้าจักเปรียบได้ดั่งบิดาของดอนกิโฆเต้ ทว่า ข้าพเจ้าก็เป็นเพียงบิดาเลี้ยงเท่านั้น" ทีนี้ทำไมผู้ประพันธ์ถึงเขียนอย่างนี้ พออ่านจะพบว่าผู้ประพันธ์ทำเหมือนกับว่าไปเอาเอกสารที่พบ ซึ่งเป็นชีวประวัติที่เขียนในบันทึกประจำปีของแคว้นลามันช่าเอามาเล่าใหม่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เล่าไม่เชิงเป็นของเขา แต่เซร์บันเตสเอาเรื่องคนอื่นมาเล่าใหม่ อ่านไปถึงบทที่ 9 ดอนกิโฆเต้กำลังเงื้ออาวุธต่อสู้กับชาวบาสก์ แล้วเรื่องหยุดแค่นั้น เพราะต้นฉบับเล่าจบลงเพียงนั้น หยุดค้างไว้แล้วต้องออกหาต้นฉบับ ไปได้ต้นฉบับที่ตลาดเมืองโตเลโด้ ต้นฉบับกลับกลายเป็นบันทึกของนักประวัติศาสตร์ชาวอาหรับ เขียนเป็นภาษาอาหรับ ดังนั้นต้องแปลด้วย <br /><br />เรื่องดอนกิโฆเต้ซึ่งมีนัยยะทางคริสต์ศาสนา กลับกลายเป็นว่าเขียนโดยชาวอาหรับ ซึ่งแสดงว่าไม่ใช่คริสเตียนที่ดี แล้วยังต้องหาคนมาแปลอีกต่างหาก แล้วเอามาเล่าต่อโดยเซร์บันเตส แสดงว่าคนเล่าจริงๆ ไม่รู้ใคร คนเขียนพยายามกลบเสียงผู้เล่าหมด จนเราไม่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นผู้เล่า เช่นมีประโยค "โชคชะตาย่อมจักนำสิ่งดีๆ ไปสู่สิ่งที่ประเสริฐขึ้นอีกครา" นี่เป็นความคิดของเซร์บันเตส หรือความคิดนักประวัติศาสตร์ชาวอาหรับ หรือผู้แปลแปลขึ้นมา ซึ่งอาจแปลผิดก็ได้ ดังนั้นผู้เขียนคือใคร หาไม่ได้ ถ้าพูดตามหลักการของนักอ่านสมัยใหม่ ต้องเรียกว่าผู้ประพันธ์ตายสนิท เพราะตกลงไม่รู้ว่าเป็นใคร ผมเคยอ่านบทสัมภาษณ์ ว่าหลังจากอ่านไม่ทราบเที่ยวที่เท่าไร คุณมกุฏโทรไปถาม อ. วัลยาว่าใครแต่งหนังสือเล่มนี้ จำไม่ได้ อ. วัลยาบอกว่าจำไม่ได้เหมือนกัน เพราะอ่านแล้วลืมผู้แต่งไปเลย<br /><br />ผมคิดว่าถ้าเซร์บันเตสรู้เรื่องนี้จะต้องบอกว่า แหม! จริงๆ เลยนะนี่ อย่างที่อยากได้เลย คือเวลาอ่านเล่มนี้ไม่ต้องคำนึงผู้แต่ง ไม่มีใครคอยควบคุมเราว่าควรอ่านอย่างไร เพราะมีแต่ตัวหนังสือเล่มอ้วนๆ ต่อหน้าเรา ให้เราอ่านโดยไม่มีเซร์บันเตสควบคุมว่าอ่านอย่างนี้นะ ความหมายอย่างนี้นะ เพราะถ้ามีผู้แต่งมาควบคุม ผมเข้าใจว่ากลไกของหนังสือมันเหมือนถูกบล็อคหรือถูกหยุด จะมีความหมายอันเดียว แต่เซร์บันเตสพยายามถอยห่างออกไป หลบไปให้ไกล จนกระทั่งเหลือแต่ตัวหนังสือ ทีนี้ตัวหนังสือจะอยู่ลำพังไม่ได้ ต้องมีผู้อ่านที่จะอ่านหนังสือนั้นเอง ตามที่เราจะพบความหมายหรือตีความในฐานะผู้อ่าน<br /><br />เวลาผมอ่านหนังสือภาษาต่างประเทศ บางทีก่อนอ่าน โดยเฉพาะหนังสือที่มีความสำคัญเช่นนี้ เราจะรู้สึกว่า เอ๊ จะอ่านได้ไหม เซร์บันเตสก็ไม่รู้จัก ประวัติศาสตร์สเปนก็ไม่รู้จัก ปี 1605 ที่หนังสือเขียนขึ้น เกิดอะไรในสเปนก็ไม่รู้ พระเจ้าเฟลิเป้ที่ 3 คือใครไม่รู้ ใหญ่สำคัญอย่างไรไม่ทราบ ไม่รู้จักภูมิหลังประวัติศาสตร์สเปน แต่พอมาเจอหนังสืออย่างนี้ ที่ปล่อยให้หนังสืออยู่กับเรา ให้เราโต้ตอบกับหนังสือ คุยกับหนังสือตามลำพัง มันเป็นความสุข ไม่มีเงาของผู้เขียนมากำกับ ไม่มีใครมาบอกว่าต้องอ่านแบบนี้ อ่านวันนี้ได้อย่างนี้ อ่านอีกวันได้อีกวัน อ่านตอนหน้าว่าอย่างนี้ อ่านตอนหลังมาแย้งตอนหน้า<br /><br />แล้วหนังสือเล่มนี้นะครับ ตัวหนังสือมันเหมือนแมว แล้วผู้อ่านเป็นหนู มันจะคอยตบแล้วปล่อยให้เราวิ่งๆ ไป แล้วตามตะปบบอกอีกที ตรงนี้ว่าอยางนี้ เอ๊ะ ชักสงสัยทำไมมันเป็นแบบนี้ มันปล่อยให้เราหาปริศนาตอนปลายตอนต้น น่าสนุก น่าสนุกมาก เสียดายได้อ่านหนเดียวนะครับ ถ้าได้อ่าน 100 หนคงสนุกมากกว่านี้เยอะ ถ้ามีโอกาสแล้วผมจะบอกว่าผมพบอะไรในการอ่านแบบไปโลดๆ ของผม โดยปล่อยให้ อ. สว่างวัน อธิบายไปว่าเซร์บันเตสเป็นใคร มีเมียกี่คน ไปรบที่ไหน มีแผลเป็นที่ไหนบ้าง ถูกจับกี่หน ผมว่าสนุกมากเลยนะครับ ผมก็สนใจนะฮะ แต่เอาไว้ก่อน ขอผมกับหนังสือดวลกันตัวต่อตัวก่อน ผมรู้สึกมันมากเลยครับ<br /><br /><span style="color:#993399;">อ่านดอนกิโฆเต้ฯ แล้ว คุณสุวัฒน์ คิดอย่างไร<br /></span><br />ผมชอบมากจนถึงมากที่สุด อ่านไปหัวเราะไป ขณะอ่านต้องตั้งคำถามว่าตกลงดอนกิโฆเต้เสียจริตจริงหรือ คนฟั่นเฟือนใช้เหตุผลได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ โดยเฉพาะช่วงที่เขาปลอบประโลม พูดคุย ให้เหตุผลแก่อัศวินสำรองของเขาในหลายๆ เรื่อง ผมเคยอ่านบทวิจารณ์หนึ่งที่บอกว่าดอนกิโฆเต้ฟั่นเฟือน เนื่องจากเขายึดมั่นในเหตุและผลของเขา สิ่งที่ดอนกิโฆเต้มีเสมอคือเหตุและผล เพียงแต่เหตุผลเขาเป็นสิ่งแปลกประหลาดและพิกลสำหรับโลกรอบข้าง ความรู้สึกผู้อ่านคือหนังสือเรื่องนี้ทำให้เราได้คิด<br /><br /><span style="color:#993399;">ถาม อ. ปณิธิ ว่าสถานภาพอาจารย์ มีผลอย่างไรกับการอ่านหรือไม่<br /></span><br />มีผลครับ เป็นอาจารย์คือมันหลีกเลี่ยงตัวเองไม่ได้ แต่ก็อ่านแบบคนทั่วไป มีสัมภาระ มีต้นทุนบ้างเล็กน้อย เรื่องบ้าไม่บ้าเราก็ตั้งคำถาม แต่บางทีแว่นตาของคนสอนวรรณคดีมันถอดออกไม่ได้ หรือถอดออกก็ยังเห็นวรรณคดีอยู่ตรงหน้า ฉะนั้น เวลาอ่านหนังสือ อาจจะแตกต่างจากคุณสุวัฒน์ ผมเป็นนักอ่านที่ไม่ได้เรื่อง คำว่าไม่ได้เรื่องคือจำเรื่องไม่ได้ แต่สิ่งที่เห็นคือ นี่เป็นหนังสือวรรณคดีที่ว่าด้วยวรรณคดี และเป็นวรรณคดีที่วิจารณ์วรรณคดี และวิจารณ์ด้วยวิธีแยบยลและฉลาดมาก เป็นหนังสือที่มีข้อความโต้ตอบกัน คือผมนึกเอาว่าเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบ คล้ายๆ กับผมเห็นชายชราคนหนี่ง ไม่รู้ว่าเป็นใคร แข็งแรงมาก มาจากดินแดนไกล แล้วเล่าเรื่องให้ฟัง พอเล่าเสร็จผมบอกว่าคุณปู่หรือคุณทวดครับ หนังสือคุณทวดสนุกจังเลยครับ มีข้อคิดต่างๆ เห็นเลยว่าเป็นเรื่องของความบ้า ก็ได้ยินเสียงคุณปู่หัวเราะว่า เฮอะ! แล้วก็ไป นี่ทำให้ผมคิดว่าคุณปู่หัวเราะแปลกๆ<br /><br />คำว่า อัศวินพเนจร ใช้มากในหนังสือ ตั้งแต่ตอนต้นๆ ที่ดอนจะออกผจญภัยในโลกกว้าง อาจนึกถึงเรื่อง 80 วันรอบโลก ของ จูลส์ เวิร์น ก่อนออกเดินทางเขาตั้งชื่อม้า 4 วัน ตั้งชื่อตัวเอง 8 วัน ยังไม่ไปไหนเลยนะฮะ 12 วันแล้ว ออกเดินทางครั้งที่หนึ่ง 2 วัน ไปช่วยเด็กหนุ่มอันเดร็สแล้ววิวาทกับพ่อค้าจนแอ้งแม้ง จนเขาต้องพากลับมา 2 วันหลังจากเตรียมตัว 12 วัน ยังอยู่แถวเมืองลามันช่า เดินทางครั้งที่สองไปกับซานโช่ นับคร่าวๆ ไม่รู้นับถูกไหม ผมนับได้ 18 วัน ไม่ได้ไปไหน อยู่รอบๆ แล้วเขาหิ้วปีกกลับเหมือนกัน เขาไปไม่ไกล ผมเคยอบรมมัคคุเทศก์ที่คณะอักษรศาสตร์ อย่างดอนกิโฆเต้ได้บัตรมัคคุเทศก์ทั่วไป--ซึ่งพาไปทั่วประเทศไทย--ไม่ได้นะครับ ได้อย่างดีก็แค่มัคคุเทศก์ท้องถิ่น ก็คืออยู่ในนั้นน่ะ คำว่า พเนจร ของหนังสือไม่ใช่พเนจรทางร่างกาย แต่เป็นการเดินทางในจิตใจ ในแง่วรรณคดี หนังสือเล่มนี้กินความกว้างขวางมาก กินเนื้อที่กว้างขวางมาก เพราะเรื่องแทรก เรื่องแทรกจำนวนมากที่แทรกเอาๆ ทำให้จักรวาลของดอนกิโฆเต้ออกไปไกล ไปไกลถึงคนที่พายเรือ ไกลถึงโลกของชาวมุสลิม ไกลถึงคนคุก เรื่องแทรกที่เล่ามาต่างตั้งปัญหา ชวนให้เรื่องของดอนกิโฆเต้มีปมน่าสนใจ น่าตั้งคำถามมากขึ้น<br /><br />ที่คุณสุวัฒน์บอกว่าดอนกิโฆเต้เป็นเรื่องของคนบ้า สมมติเราตกลงกันอย่างนั้น ดอนกิโฆเต้บ้าเพราะอ่านนิยายอัศวิน แต่เรื่องนี้บอกว่ามันไม่ได้มีแต่คนบ้าอ่านหนังสือเท่านั้น มีคนบ้าคนอื่นด้วย คนถ้าจะบ้า บ้าด้วยเรื่องอื่นก็ได้ อย่างอัลเซลโม่คงไม่ดีนัก ที่อยู่ดีๆ แต่งงานแล้ว รักเมีย อยากดูว่าเมียซื่อสัตย์ไหม สมมติคุณสุวัฒน์กับผมเป็นเพื่อนรักกันมาก แล้วผมแต่งงาน อยู่ดีๆ ผมอยากพิสูจน์ว่าเมียซื่อสัตย์หรือเปล่า ผมชวนคุณสุวัฒน์มาบ้านบ่อยๆ แล้วผมหลบฉาก อย่างนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่าตัวผม...บ้าหรือเปล่า ต่อมาต้องไม่ลืมว่าบาทหลวงกับกัลบก ที่ต้องการรักษาอาการยึดถือความลวงของดอนกิโฆเต้ วิธีรักษาคือแก้ไขด้วยความลวงเช่นกัน บาทหลวงปลอมตัวเป็นผู้หญิง เอาหางวัวมาคลุมหน้า กัลบกปลอมเป็นคนรับใช้ เพราะฉะนั้นบ้าหรือเปล่า ใครบ้ากว่ากัน บ้าก็ต้องรักษาด้วยบ้าเหมือนกัน<br /><br />หนังสือที่ดอนกิโฆเต้อ่าน ขอโทษนะครับ ผมไปไกล ผมเริ่มออกชเลจรแล้วนะครับ หนังสือที่ดอนกิโฆเต้อ่านถูกวิจารณ์ว่าเป็นหนังสือไม่สมจริง เป็นเรื่องกึ่งบังเอิญ เต็มไปด้วยความบังเอิญ แล้วเราบอกว่าดอนกิโฆเต้อ่านหนังสือจนสติแตก เป็นหนังสือไม่สมควรอ่าน เรื่องเล่าต่างๆ ที่เอามาแทรก เอามาอ่าน ซึ่งคนอ่านก็เพลิน คนฟังก็เพลิน ก็เต็มไปด้วยเรื่องไม่ดีทั้งนั้น เป็นเรื่องไม่คาดฝัน หรือเป็นไปไม่ได้ มีแต่เรื่องไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ไม่มีใครว่าอะไรนี่ ทุกคนก็นั่งฟัง บาทหลวงซึ่งเผาหนังสือของดอนกิโฆเต้เกือบหมดห้องสมุดไม่เห็นว่าอะไร นั่งฟังว่าเรื่องนี้ดี เขาอาจติบ้างว่าเรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้ แต่อดทนด้วยดี เอ๊ะ แล้วตกลงเราจะไปว่าดอนกิโฆเต้อ่านหนังสือไม่เข้าท่า ไปเผาหนังสือดอนกิโฆเต้ ก็ชอบกล<br /><br />พวกที่เผาหนังสือดอนกิโฆเต้คือใครนะฮะ คือกัลบกกับบาทหลวง กัลบกวิจารณ์กับบาทหลวงว่าหนังสือเล่มนี้ดี เล่มนั้นไม่ดี เล่มนี้ควรเผา เล่มนั้นไม่ควรเผา หนังสือระบุว่าบาทหลวงเป็นผู้ทรงภูมิรู้จากมหาวิทยาลัยซีเกวนซ่า เป็นมหาวิทยาลัยในเมืองเล็กๆ เป็นมหาวิทยาลัยไม่มีชื่อเสียง แล้วคนที่เอาหนังสือเขาไปเผาเนี่ยเป็นคนอย่างนี้ฮะ เป็นบาทหลวงบ้านนอก จบจากมหาวิทยาลัยเล็กๆ ในเมืองเล็กๆ ไม่มีชื่อเสียง แล้วเราจะเอาอะไรไปเชื่อว่าหนังสือที่ท่านทั้งหลายเอาไปสำเร็จโทษในกองเพลิง มันตัดสินด้วยความเที่ยงธรรมถูกต้อง ตัวบาทหลวงเองเคยคุยอย่างออกรสในเรื่องหนังสือกับดอนกิโฆเต้ แสดงว่าความจริงไม่ใช่เกณฑ์สำหรับตัดสินเลย ไม่ว่าความจริงในหนังสือหรือความจริงในชีวิต ไม่ใช่เกณฑ์จะมาบอกว่า ที่เราบอกหนังสือเล่มนี้ไม่ดี เพราะเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์หรือความลวง ที่จริงแล้ว หนังสือเรื่องนี้จะบอกว่านั่นไม่ใช่เกณฑ์ มีเกณฑ์อื่น ซึ่งอ่านเองนะฮะ หนังสือมีบอกไว้ ในคำพูดของเจ้าวัดว่าที่จริงไม่น่าเผาหนังสือเล่มนั้นเพราะดีอย่างนี้ ทั้งที่เกี่ยวกับนิยายอัศวินเหมือนกัน<br /><br />เหมือนหนังสือเล่มนี้ตั้งโจทย์ไว้ข้างหน้า แล้วเอามาตอบไว้ข้างหลัง มีทาสฝีพายคนหนึ่งบอกว่าเขียนบันทึกประวัติจากชีวิตจริง และบอกว่าหนังสือเขาต้องดีกว่าคนอื่น เพราะเป็นเรื่องจริง และที่ยังไม่จบเพราะเขายังไม่ตาย เขาต้องดีกว่า แล้วดอนกิโฆเต้บอกว่าท่านต้องเป็นผู้ทรงภูมิปัญญาแน่ๆ กลายเป็นว่าหนังสือดีต้องจริง ย้อนกลับไปหน่อยหนึ่ง จำนิทานที่ซานโช่เล่าให้ดอนกิโฆเต้ฟังได้ไหม ที่ว่าชายคนหนึ่งมีแพะ ย้อนไปเล่ารายละเอียดเจ้าของแพะ ดอนกิโฆเต้บอกให้เล่าเรื่องตามลำดับเวลาสิ เล่าเรื่องไหนต้องเล่าเรื่องนั้น ไปมุ่งเรื่องนั้นเลย ไม่อย่างนั้นจะเป็นเรื่องเล่าที่ดีได้อย่างไร ข้อแรกนะครับ แต่หนังสือเล่มนี้หยุดและเล่าเรื่องอื่นตลอดเวลา มันมีเยอะ เรื่องเล่าแล้วหยุด ทิ้งเอาไว้ ปล่อยให้เราอ้าปากค้างตลอดเวลา แต่ตัวดอนกิโฆเต้ให้ข้อคิดว่าหนังสือที่ดีต้องรู้จักลำดับความ ไม่หยุดชะงักไม่ออกนอกเรื่อง ข้อสอง มีชายคนหนึ่งหนีหญิงที่ตัวรัก พาแพะหนีมาด้วยหลายตัว ฟังให้ดีนะครับ เดี๋ยวต้องนับให้ได้นะครับว่าแพะมีเท่าไหร่ ชายผู้นี้พาแพะมาถึงแม่น้ำ เอาแพะลงเรือข้ามไป แพะตัวที่หนึ่งลงเรือข้ามไป แพะตัวที่สองลงเรือข้ามไป เล่าไปเล่ามา มีแพะกี่ตัวแล้วครับ จำไม่ได้แล้ว เล่าต่อไม่ได้ จบ ก็บอกแล้วไง บอกแล้วให้จำให้ได้ว่าแพะมีกี่ตัว<br /><br />เรื่องอย่างนี้ฟังดูก็เรื่องแพะๆ แต่เหมือนสิ่งที่ซานโช่เล่าคือ เรื่องจริงที่เกิดขึ้นจริงๆ คือเอาแพะลงเรือกี่ตัว ต้องบอกให้ได้ว่ากี่ตัว เรื่องเล่าที่เลียนแบบความจริงดังที่ซานโช่เล่า คล้ายกับหลักการของทาสฝีพาย แต่เอาเข้าจริงแล้วเล่าไม่ได้ เพราะมันจริงเกินไป นี่เป็นตัวอย่างการโต้ตอบทางความคิด ประเด็นปัญหาที่ตบให้เราคิดอย่างนี้ แล้วอ่านๆ ไป ตบว่าความคิดนี้ไม่ใช่ เป็นอย่างนี้ทั้งเรื่อง<br /><br />อ. สว่างวันเสริมว่า จนวันนี้นักวิจารณ์ยุคปัจจุบันยังไม่ทราบว่า เซร์บันเตสคิดอย่างไรกับวรรณคดียุคนั้น คือเขาเป็นเสียงของกัลบก เป็นเสียงของบาทหลวง หรือเห็นด้วยกับดอนกิโฆเต้ 100% หรือเขาเห็นด้วยกับเจ้าวัด ยังหาบทสรุปไม่ได้<br /><br />อ. ปณิธิ เสริมว่า ประเด็นต่างๆ ที่พบในหนังสือทันสมัยมาก เป็นประเด็นที่ยังถกเถียงกันในปลายศตวรรษที่ 20 เช่นเรื่องความตายของผู้ประพันธ์ ปี 1968 มีบทความก้องโลกที่ก่อให้เกิดการถกเถียงกันในเรื่องความตายของผู้ประพันธ์ คือตายมาตั้งแต่ตอนต้นแล้วนะฮะ แล้วในอารัมภบท เซร์บันเตสมอบอาณาจักรแห่งนักประพันธ์ให้ผู้อ่าน เซร์บันเตสเป็นคนแรกๆ ผมไม่รู้นะครับก่อนหน้าเซร์บันเตส แต่เขาเป็นคนแรกๆ ผู้นึกถึงทฤษฎีที่เรียกว่า Regression คือคิดถึงผู้อ่าน ผู้อ่านเป็นคนให้ความหมาย หนังสืออยู่ของมัน ผู้อ่านต่างหากเป็นผู้เข้าใจความหมาย เพราะฉะนั้นมันทันสมัย มีอะไรให้ต้องคิดต้องตอบคำถาม ที่ตลบท้ายตลบหน้าเราอยู่ตลอดเวลา<br /><br />อ. สว่างวันเสริมว่าวรรณคดีสเปนจะเอาฉากมาเรียงๆ กัน ต้องเล่าเรื่องให้สนุกเข้าไว้ มีนิยายเชิงเสเพล ตัวเอกต้องหลอกลวงและเล่าประวัติตัวเอง ซึ่งในยุคนั้นบอกกันว่าเป็นงานเขียนเลอเลิศมาก เพราะเล่าประวัติชีวิตตนเองจริงๆ แต่เซร์บันเตสบอกว่าไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะเล่าชีวิตจริงๆ จะต้องมีตกแต่งเพิ่มเติม สิ่งที่เซร์บันเตสให้คุณค่าคือความสมจริงต่างหาก<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. ปณิธิ กับประเด็น ดอนกิโฆเต้เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้<br /></span><br />คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้ ใครในนี้อาจเคยได้ยินปรัชญา มนุษย์คือสิ่งที่ตัวกระทำ ทุกวันนี้แทบไม่มีใครรู้จัก กิฆาน่า แต่กิโฆเต้เป็นอัศวิน จะอย่างไรก็ตาม เขาเป็นอัศวินเพราะสิ่งที่เขากระทำ ทุกอย่างเป็นไปได้สำหรับใครคนหนึ่ง ถ้าพิจารณาในแง่นี้ ไม่แปลกเลยที่อ่างของกัลบกจะเป็นหมวกเกราะ สรรพสิ่งในโลกนี้ โดยตัวเองไม่เป็นอะไร แต่มันเป็นอะไรสำหรับใคร มนุษย์เป็นสิ่งที่ให้ความหมายแก่ตัว<br /><br /><span style="color:#993399;">อ. ปณิธิ เห็นว่าดอนกิโฆเต้ซึ่งเป็นตัวละครสากล มีความหมายเกี่ยวข้องอย่างไรต่อสังคมไทย<br /></span><br />ปี 2530 เรามีละครสู่ฝันอันยิ่งใหญ่ ทุกคนไม่ว่านักวิชาการ นักคิด นักเขียน พูดว่าที่จริง สังคมไทยมีคนอย่างดอนกิโฆเต้ อ. ธีรยุทธ บอกว่าเช่น เทียนวรรณ เป็นผู้มีความคิดล้ำสมัยเรื่องประชาธิปไตย แต่ถูกกล่าวหาว่าฟั่นเฟือน เมื่อใครมีความฝันอย่างไร เราต้องให้ความยุติธรรมว่าสิ่งที่เขาฝันเป็นไปได้หรือไม่ ในเรื่องอุดมคติและความฝันของเล่มนี้ อ่านเองเถิดครับ จะพบว่าบางทีเราอาจมองสังคม มองผู้คนด้วยความเข้าใจ ไม่ได้หมายความว่าจะให้อภัยนะฮะ แต่หมายถึงความเข้าใจ ไม่จำเป็นว่าใคร เพราะคนเหล่านั้นเป็นแพะหรือแกะ ซึ่งเป็นศัตรูของเราหรือเป็นสีลม เราอาจแพ้แต่ไม่เคยท้อ ถ้าเราเชื่อว่าความดีงามมีอยู่ เราจะเชื่อว่าคนอย่างดอนกิโฆเต้หรือคนอย่างพวกเรา อาจช่วยให้ความดีงามกำเนิดขึ้นใหม่ได้<br /><br />คุณสุวัฒน์เสริมว่าสังคมปัจจุบัน เราขาดความเชื่อมั่นตัวเอง ดอนกิโฆเต้สอนว่าเมื่อคุณเชื่อมั่นในสิ่งใด ควรยึดเอาไว้<br /><br />อ. สว่างวันกล่าวว่า หนังสือเล่มนี้จะไม่ยืนหยัดถึง 400 ปี ถ้าหัวข้อใหญ่ไม่ใช่เรื่องความดี เพราะดอนกิโฆเต้เป็นสุภาพบุรุษที่ต่อสู้เพื่อความดี เมื่อแรกซานโช่ติดตามด้วยอยากได้ดินแดน อยากได้เงินเดือน อยากได้ลา แต่ที่จริง เขาติดตามเพราะดอนกิโฆเต้เป็นคนดี หลายครั้งเขาบอกว่ารู้จักชายผู้นี้ดี คนที่จะรู้จักคนหนึ่งดีและยอมตกระกำลำบากด้วย ย่อมเพราะรู้ว่าคนนั้นเป็นคนดี ขณะเดียวกันดอนกิโฆเต้โกรธซานโช่หลายครั้ง แต่รู้ว่าซานโช่ซื่อสัตย์ ไม่โกหก ทั้งสองคนเป็นคนดี ทำอย่างไรจะให้มีคนดีมากๆ วิธีหนึ่งคือการสนับสนุนให้คนอ่านหนังสือที่ยกระดับจิตใจของเรา<br /><br /><span style="color:#993399;">จากคำถามผู้เข้าร่วมงาน อ. ปณิธิ เล่าถึงรสชาติที่แตกต่างระหว่างหนังและหนังสือ<br /></span><br />ผมไม่เคยดูหนัง แต่ผมดู สู่ฝันอันยิ่งใหญ่ ดูตอนนั้นอายุยังไม่กร้านโลก ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมมาก ดูแล้วร้องไห้ครับ แต่อ่านดอนกิโฆเต้ฯ แล้วไม่ร้องไห้เพราะผมโต หนามากพอ หนังมีความคิดอันหนึ่ง แต่ผมอาจเห็นอย่างอื่น ผมว่ามีอะไรหลายอย่างที่ล้อกัน ตอบโต้ข้างหน้าข้างหลังกัน ดอนกิโฆเต้รักดุลสิเนอาหรือเปล่า จะตอบอย่างไร ตอบยากนะครับ ตั้งชื่อม้า 4 วัน ตั้งชื่อตัวเอง 8 วัน แต่ดุลสิเนอาแพล็บเดียวได้เลย ดอนกิโฆเต้ออกเดินทางเพราะความรัก อ. สว่างวันว่าดอนกิโฆเต้เคยมีเพศสัมพันธ์กับใครบ้าง (อ. สว่างวันตอบว่า ไม่ทราบค่ะ) ผมก็ไม่ทราบ ถ้าอาจารย์ตอบได้ผมก็คงงงครับ ในบ้านดอนกิโฆเต้มีหลานสาวคนหนึ่งอายุ 18 ปี มีทำไม (อ. สว่างวันเสริมว่าเพราะเซร์บันเตสมีหลานสาว) ครับ แต่ถึงแม้ชีวิตจริงมีหลานสาว จะเอามาใส่ทำไม (อ. สว่างวันตอบว่าเซร์บันเตสมีสาวๆ ในบ้านหลายคน ล้วนแต่เป็นสาวที่ขายไม่ออกทั้งสิ้น มารวมตัวอยู่ในบ้าน ภรรยาเซร์บันเตสอายุอ่อนกว่าเขาครึ่งหนึ่ง ชีวิตแต่งงานไม่ค่อยราบรื่น)<br /><br />นั่นสิ ผมคิดเล่นๆ คิดมากจริงๆ สมมติพูดถึงเช็คสเปียร์ ตัวของเช็คสเปียร์ไม่พูดกับใครเลย หรือต้องไปทำคนอื่นถึงจะพูด แต่ตัวละครของดอนกิโฆเต้พูด พูดไปเรื่อยๆ เหมือนต่างคนต่างโต้ตอบกัน ผมรู้สึกว่าแผนการออกไปข้างนอกโดยมีนางในดวงใจ เป็นแผนที่ทำให้ดอนกิโฆเต้ห่างจากผู้หญิง ยิ่งทำยิ่งห่าง ไม่ใช่แผนการที่จะทำให้พบผู้หญิงเลย พบผู้หญิงเมื่อไร ขนาดในฝันจะกอดแล้วนะครับ ยังพูดว่าไม่ได้ ให้สัญญาแล้วกับดุลสิเนอา มีผู้หญิงสวยคนเดียวที่ดอนกิโฆเต้ยอมติดตามคือโดโรเตอา นอกนั้นถอยห่างเลย โดโรเตอาสวยมากนะครับ ดอนกิโฆเต้ประกาศว่าขอยอมอยู่ตามลำพังดีกว่า ไม่ยอมแต่งงานกับเธอ แต่โดโรเตอามีลักษณะของผู้ชาย ปลอมตัวเป็นผู้ชายอยู่ได้ตั้งนาน นี่สมัยใหม่มากเลยนะครับ ทั้งเรื่อง gender study เรื่องคนชายขอบ เรื่องเพศ การแปลงเพศ การข้ามเพศ ไม่มีเสียละที่เราจะไม่พบในดอนกิโฆเต้ ไม่ว่าจะพูดถึงปัญหาของเพศ ปัญหาเพศชายหญิง ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง หรือแม้แต่การข้ามเพศ ผมว่าเป็นนวนิยายที่มีการปลอมแปลงตัว การเผยร่าง การพรางกาย มากที่สุดเรื่องหนึ่ง มากจริงๆ<br /><br />คือไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นอย่างนั้น วรรณคดีเปิดให้เราคิด อาจเป็นเช่นนั้นหรือไม่ก็ได้ หนังสือเล่มนี้ล้ำหน้าออกไปก้าวหนึ่ง หรือมากกว่าก้าวหนึ่ง<br /><br /><span style="color:#993399;">ส่งท้ายจาก อ. ปณิธิ<br /></span><br />ผมขอพูดในสิ่งที่อยากพูดมาก ดอนกิโฆเต้เอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพื่อทำให้ชีวิตตนเหมือนหนังสือที่อ่าน ในศตวรรษที่ 19 มาดามโบวารีของโฟลแบรต์คือดอนกิโฆเต้ เธออ่านเรื่องความรักโรแมนติก และพยายามอยากมีชีวิตเหมือนอย่างหนังสือ แต่ดอนกิโฆเต้เจ็บแสบไปกว่านั้น เขาพยายามทำตัวให้เหมือนหนังสือที่ผู้อื่นเขียน ในภาคสอง ผมอ่านถึงบทที่ 9 เองนะครับ เพราะคงจะมีอะไรให้คิดต่อไปในทางไม่ค่อยดีอีกกระมัง อ่านบทที่ 9 ดอนกิโฆเต้บอกซานโช่ว่าฉันบอกเธอตั้งหลายหนแล้วว่าไม่เคยเห็นดุลสิเนอา ที่ได้ยิน ที่หลงรักเขา เพราะหลงรักในสิ่งที่ผู้อื่นพูด แต่ภาคแรกกลับบอกว่าเคยเห็น 4 หนแล้วหลงรัก<br /><br />ที่เห็น 4 หนแล้วหลงรักนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกนะครับ ดังเต้เห็นหญิงที่ตนรัก 2 หนเท่านั้นเอง แล้วเขียนหนังสือให้เป็นเทวดา ยิ่งกว่าเป็นนางในอุดมคติอีก เขียน Divine Comedy ให้เบียทริซเป็นเทวดาบนสวรรค์เลย ในภาคแรก ดอนกิโฆเต้ทำตัวให้เหมือนหนังสือที่ผู้อื่นอ่าน ภาคสองมีคนเอาเรื่องดอนกิโฆเต้ไปเขียน คือมีความเจ็บแสบที่ทำไมภาคสองต้องทำตัวให้เหมือนหนังสือที่แม้ตัวจะไม่ได้เขียน ก็เป็นต้นกำเนิดขึ้นมา หนังสือมหัศจรรย์ 2 เล่มอ้วนๆ นะครับ มันโต้ตอบกัน ตั้งปัญหาตรงนี้แล้วไปตอบตรงนั้น จุดอะไรขึ้นมาใหม่มากมาย สนุกจริงๆ ครับ ดีจริงๆ เป็นหนังสือที่ทำให้ผมอยากเรียนภาษาสเปนนะครับDon de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3730209939703745791.post-90718411187564553972007-03-07T01:07:00.001+07:002007-03-07T01:07:20.503+07:00งานวันที่สี่<span style="color:#663366;">รายงานโดย เจ้าหญิงมิโกมิโกน่า</span><br /><br /><br />งานเสวนาวันนี้สนุกสนานมาก ในหัวข้อ 'ในฐานะคนอ่าน ดอนกิโฆเต้ฯ' โดยมี อ. ปณิธิ หุ่นแสวง อาจารย์ภาควิชาภาษาฝรั่งเศสจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คุณสุวัฒน์ หลีเหม ผู้ดำเนินรายการ, อ. สว่างวัน ไตรเจริญวิวัฒน์ ผู้แปลหนังสือดอนกิโฆเต้ฯ และ อ. ภาสุรี ลือสกุล ผู้แปล <em>กวีนิพนธ์แห่งรักยี่สิบบท และบทเพลงความสิ้นหวังหนึ่งบท</em> ของเนรูด้า<br /><br />อ. ปณิธิคุยสนุกมากและมีเนื้อหาแพรวพราว เช่นเรื่อง เซ็กส์ในดอนกิโฆเต้ฯ อยากรู้ซะแล้วละซีว่าเป็นอย่างไรกัน ต้องขออภัยผู้อ่านที่ข้าพเจ้าป่วยในวันนี้ จึงขอนำภาพมาให้ชมก่อน แล้วเรื่องจะตามมาในวันหน้า โปรดติดตามชม ภาพแรกนี้เรียงจากซ้ายไปขวาคือ อ. สว่างวัน, อ. ภาสุรี, คุณปณิธิ และคุณสุวัฒน์<br /><p><br /><br /></p><p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhyf1wBLAWKl85N0hxbK9dFiW9HwOhOY2V3ox_1vNbS97-FimyE9A_0BlTqo4l11omazWUlSXgdEiKYDOnWY5WrTAOims0bbkdxJqg0se6lgkQ2niyIBQumwUk_yYllqnNjkghECVvCC4M/s1600-h/pic4_1.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5038865983220880706" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhyf1wBLAWKl85N0hxbK9dFiW9HwOhOY2V3ox_1vNbS97-FimyE9A_0BlTqo4l11omazWUlSXgdEiKYDOnWY5WrTAOims0bbkdxJqg0se6lgkQ2niyIBQumwUk_yYllqnNjkghECVvCC4M/s320/pic4_1.jpg" border="0" /></a><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgr6gY-VbigsvrEvQkwPG_8fnFCpVg5iEh8MBjOhiuwAWJ1SsbgPlIkH-AiToshVlmuD6iKP3L7rezCWUWTisQe-QuO8n94cCraVZ4-lf1fYJyQ2HzTSv6yec9jxEdCXNfs-txczU49URw/s1600-h/pic4_2.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5038866180789376338" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgr6gY-VbigsvrEvQkwPG_8fnFCpVg5iEh8MBjOhiuwAWJ1SsbgPlIkH-AiToshVlmuD6iKP3L7rezCWUWTisQe-QuO8n94cCraVZ4-lf1fYJyQ2HzTSv6yec9jxEdCXNfs-txczU49URw/s320/pic4_2.jpg" border="0" /></a><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhRr9CB71UrjmjwtnriDcimoElFMUtkhyrmRB-Kkh7u7eib_wYYHT8iA_QiLn51Y3vrQ2RQepHwqnx1xwxJE45xu0-voghQmgQhkDrBMLNDhEA2HVFCme9Ncc7pcXeExzZIfPdoo_bnVXg/s1600-h/pic4_3.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5038866343998133602" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhRr9CB71UrjmjwtnriDcimoElFMUtkhyrmRB-Kkh7u7eib_wYYHT8iA_QiLn51Y3vrQ2RQepHwqnx1xwxJE45xu0-voghQmgQhkDrBMLNDhEA2HVFCme9Ncc7pcXeExzZIfPdoo_bnVXg/s320/pic4_3.jpg" border="0" /></a><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgiJXXo1u5QBmEKGmBlCLUxVXWKDrSkQfzD_QS20sYmV-ok8_tw1YDUrLaCJA8sVL6gHamukuzkssDDRyYDDVA9_21hMENdN2m-4fYb1MxD9FadodlazXujjKG-5H6K1CX-XYcSe7JOxhk/s1600-h/pic4_4.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5038866485732054386" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgiJXXo1u5QBmEKGmBlCLUxVXWKDrSkQfzD_QS20sYmV-ok8_tw1YDUrLaCJA8sVL6gHamukuzkssDDRyYDDVA9_21hMENdN2m-4fYb1MxD9FadodlazXujjKG-5H6K1CX-XYcSe7JOxhk/s320/pic4_4.jpg" border="0" /></a><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEix4Ats0SA6PDiAJNzXI8_o9hhklEmNWQkYk8G5C7iHeiTozdzWW6Wsv71RP3ZVTvZAjR79qONrZIsn3ytOHPeNb-7dLeU0HIqA7Unu6FCtiHgnVkO6gyBWAzfoWNB80qXgXDkpTwP2VtQ/s1600-h/pic4_5.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5038866601696171394" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEix4Ats0SA6PDiAJNzXI8_o9hhklEmNWQkYk8G5C7iHeiTozdzWW6Wsv71RP3ZVTvZAjR79qONrZIsn3ytOHPeNb-7dLeU0HIqA7Unu6FCtiHgnVkO6gyBWAzfoWNB80qXgXDkpTwP2VtQ/s320/pic4_5.jpg" border="0" /></a></p><p>โปรดสังเกตเสื้อแขนยาวสีแดงที่ อ. ภาสุรี คนงามใส่ เสื้อนี้คือเสื้อทีมงาน ด้านหน้ามีพิมพ์ลายสีเหลืองลายเดียวกับปกหนังสือ ด้านหลังเขียนคำว่า ดอนกิโฆเต้แห่งลามันช่า เป็นภาษาอังกฤษ เป็นเสื้อยืดที่สวยงามและมีเบื้องหลังน่าระทึกใจ มีการเปลี่ยนแบบแทบทุกวัน (คนที่ไม่โรคจิตจริงๆ จะอดทนทำงานกับผีเสื้อไม่ได้) มีการเหน็บแนมประชดเสียดสีต่างๆ ใส่กันและกันถึงรสนิยมการออกแบบของแต่ละคน รวมถึงผู้ที่ไม่ต้องการอะไรเลยนอกจากขอให้เป็นเสื้อที่ใส่แล้วดูสวยขึ้น (สวยโดยไม่ต้องทำศัลยกรรม) ยังความปวดหัวให้ผู้ทำเสื้อยิ่งนัก เสื้อนี้ทำเสร็จหมาดๆ ทันวันงานเปิดนิทรรศการพอดี เฉพาะเจ้าสำนักผีเสื้อเท่านั้นที่จะได้เสื้อยืดซึ่งมีกระเป๋าด้านหน้า นัยว่าส่อสถานะพิเศษกว่าคนอื่นๆ เสื้อนี้มีเพียงสองขนาดคือ S และ L คือต้องสุดๆ ไปเลย ให้มันรู้กันไปว่าจะอยู่ขนาดไหน (ขนาดเอสนั้นยังใหญ่โตมาก จึงเป็นเสื้อที่อำพรางความสวยและความไม่งามไปได้ในเวลาเดียวกัน) </p><p>ใครไปงานแล้วมีคำถามหรือข้อสงสัยใด โปรดสะกิดเรียกผู้ที่ใส่เสื้อชนิดนี้ได้ทุกเมื่อ รวมถึงน้องๆ ที่มาช่วยหน้างาน ซึ่งเป็นนักศึกษาสาขาวิชาภาษาสเปนจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง </p><p>ข้าพเจ้าสังเกตว่าผู้มาชมงานนี้บางคนมาทุกวัน บ้างมาเร็วเสียกว่าทีมงานเสียอีก ช่างเป็นแฟนพันธุ์แท้งานนิทรรศการที่น่ารักมาก ข้าพเจ้าได้แลกเปลี่ยนยิ้มหวานกับผู้ชมเหล่านี้เนืองๆ </p><p>ขอฝากวาทะของอัศวินดอนกิโฆเต้ว่า </p><blockquote><p><span style="color:#000099;">ทุกฉากทุกตอนในนิยายอัศวินพเนจรย่อมทำให้ผู้อ่านเพลิดเพลินแลตื่นใจพร้อมกัน ...<br />ขอจงเชื่อคำข้าเถิด แลดังกล่าวแล้ว จงอ่านหนังสือเล่มนี้<br />ท่านย่อมประจักษ์ว่าโศกเศร้า ทุกข์ตรม จะถูกขับออกจากใจท่าน</span></p><p> </p></blockquote>Don de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-3730209939703745791.post-66705972425945644102007-03-06T20:03:00.001+07:002007-03-06T20:03:26.669+07:00นวนิยายที่กษัตริย์ทรงมอบแก่กษัตริย์<span style="color:#663366;">นวนิยายที่กษัตริย์ทรงมอบแก่กษัตริย์ ดอนกิโฆเต้แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน<br /></span>โดย ผู้จัดการ<br /><a href="http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9500000026147">http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9500000026147</a><br /><br />ครั้งหนึ่ง กษัตริย์ฟิลิปเป้ที่ 3 แห่งสเปน ทอดพระเนตรชายผู้หนึ่งกำลังอ่านหนังสือที่ข้างถนน ชายผู้นั้นหัวเราะเสียจนน้ำตาไหล กษัตริย์ตรัสว่า “ชายผู้นี้หากไม่บ้าก็คงกำลังอ่านดอนกิโฆเต้อยู่”<br /><br />หลายศตวรรษถัดมา นวนิยายที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนวนิยายที่ดีที่สุดในโลกเรื่องนี้ ได้รับการถ่ายทอดเป็นภาษาล่าสุด คือภาษาไทย และได้รับการยกย่องว่าเป็นฉบับที่จัดพิมพ์ประณีตที่สุดในรอบทศวรรษDon de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-3730209939703745791.post-20746806428667164322007-03-06T14:51:00.001+07:002007-03-06T14:51:06.743+07:00งานวันที่สาม<a href="http://bp2.blogger.com/_qHmI7yi1g6Y/Re0ZQSiuFTI/AAAAAAAAABw/DsIDg4FkbkY/s1600-h/hall.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5038711325743519026" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://bp2.blogger.com/_qHmI7yi1g6Y/Re0ZQSiuFTI/AAAAAAAAABw/DsIDg4FkbkY/s320/hall.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="color:#663366;">รายงานโดย เจ้าหญิงมิโกมิโกน่า</span></div><br /><br /><div>หัวข้อเสวนาแรกของวันนี้คือ ''เปาะเปี๊ยะดอนฯ กับแผ่นหนังนาบไฟ" โดยคณะทำงานรูปเล่มหนังสือดอนกิโฆเต้ฯ ก่อนอื่นจำต้องกล่าวขออภัยที่ไม่มีภาพประกอบงานเสวนาครั้งนี้ เนื่องจากผู้ถ่ายรูปคือหนึ่งในผู้ร่วมเสวนา อย่างไรจะพยายามไปจิกตามเอารูปมาลงในภายหลังให้ได้ ตอนนี้ขอให้ท่านใช้จินตนาการไปก่อน </div><br /><br /><div>อัศวินเบื้องหลังการจัดทำรูปเล่มหนังสือรวม 4 ท่านขึ้นเสวนาบนเวที ได้แก่คุณมกุฏ อรฤดี หนึ่งในบรรณาธิการต้นฉบับ และบรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ผีเสื้อ, อภิชัย วิจิตรปิยกุล บรรณาธิการฝ่ายศิลป์, วิกรัย จาระนัย ผู้จัดการสำนักพิมพ์ และ เฉลิมชาติ เจริญดียิ่ง ฝ่ายศิลป์ (หนึ่งในจำนวนนี้คือผู้พกมีดเล่มใหญ่ติดตัวตลอดเวลา ดังที่ข้าพเจ้าเคยรายงานไปแล้ว) </div><br /><br /><div>คุณมกุฏเล่าว่ากษัตริย์สเปนปรารถนาจะมอบของขวัญในวาระที่ในหลวงฯ ครองราชย์ครบ 60 ปี ทีมงานมีเวลาประมาณปีเศษหลังจากได้รับต้นฉบับ ในการตรวจแก้ต้นฉบับนั้น หกเดือนแรกทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากไม่ได้ข้อยุติว่าควรใช้ภาษามาตรฐานอะไร ผู้แปลเร่งแล้วเร่งอีก ถึงกับเขียนจดหมายมาด่า ว่าในชีวิตนี้จะได้เห็นหนังสือหรือไม่ ในที่สุดด้วยความโกรธที่ผู้แปลเร่ง จึงออกแบบปกพิมพ์ปกออกมา และคิดว่าจะพิมพ์ออกมาโดยไม่ต้องตรวจแก้ต้นฉบับ แต่ ดอนกิโฆเต้ฯ มีแปลเป็นภาษาต่างๆ ออกมา 84 ภาษาแล้ว สวยๆ ทั้งนั้น ถ้าออกมาไม่ดีก็อายเขา จึงออกแบบปกใหม่ ขณะตรวจแก้ต้นฉบับได้ทำรูปเล่มไปด้วย น่าเสียดายที่วันนี้คนเก่งไม่มา คือคุณณรรฐ พิโรจน์รัตน์ ซึ่งเป็นคนเก่งมาก เขาอ่านลายมือผมออกหมด แก้ต้นฉบับในคอมพิวเตอร์ได้ เขาจำได้กระทั่งว่าชื่อตัวละครไหนปรากฏในหน้าไหน เสียดายที่วันนี้มาไม่ได้ หลังจากหนังสือออกมาแล้ว เขาดูจะเสียจริตไปเลย ขี่ม้าออกไปไม่กลับมาอีกเลย<br /></div><br /><br /><div><span style="color:#663366;">เบื้องหลังหน้าปกหนัง<br /></span></div><br /><br /><div>เบื้องแรกนั้นคาดการณ์ว่าหนังสือจะขายดีมาก จึงพิมพ์หน้าปกถึง 10,000 แผ่น เมื่อทิ้งหน้าปกชุดนี้ไป คุณวิกรัยช่วยคิดว่าจะทำหน้าปกอย่างไร สถานทูตกำหนดว่าฉบับพิมพ์ครั้งแรก 2 เล่มต้องเป็นปกหนัง คุณวิกรัยกล่าวว่างานนี้สร้างความเครียดและปวดหัวให้ไม่น้อย ต้องศึกษาศิลปะที่เกี่ยวข้องในยุคนั้น ต่อมาคุณมกุฏแนะว่าใช้หน้าปกเดิมฉบับพิมพ์ครั้งแรกไหม ซึ่งเขาเห็นด้วยเพราะเป็นหน้าปกที่สวยงาม </div><br /><br /><div>การทำหน้าปกด้วยหนังจะต้องทำ 2 ขั้นตอนหรือสองชั้น ชั้นแรกคือลายของพื้นที่กดลึกลงไป ชั้นที่สองคือชั้นตัวอักษรที่ต้องนูนขึ้นมา ต้องใช้ความร้อนกดบนหนังให้เกิดลวดลาย ในการทดลองปั๊มความร้อนลงในหนังครั้งแรกหมดหนังไป 5 ผืน (วัว 1 ตัวได้หนัง 1 ผืน ซึ่งหนังแต่ละผืนนำไปทำหน้าปกได้ประมาณ 4 ปก)</div><br /><br /><div>การทำปกหนังมีอุปสรรคจำนวนมาก เช่นบล็อคแม่พิมพ์เสีย มีรอยเล็กๆ ขึ้นมา แต่ทำให้เกิดรอยมลทินบนปกจนใช้การไม่ได้ ต้องขอให้ร้านทำบล็อคซ่อมอย่างเร่งด่วน โชคดีที่ร้านเปิดแม้จะเป็นวันหยุดทางศาสนา หรือโรงงานรับอัดหนังทำความร้อน มีแม่พิมพ์ขนาดไม่ใหญ่พอเท่าบล็อคที่สร้างขึ้น ทำให้พิมพ์ไม่ได้ คุณวิกรัยจึงสร้างเตาคล้ายเตาขายหมูปิ้ง ที่มีขนาดใหญ่พอจะพิมพ์บล็อคได้ แล้วก่อเตาโดยซื้อถ่านมาติดไฟปิ้ง ทดลองวิธีนี้จนเสียหนังไปอีกหลายผืน หรือวัวอีกหลายตัว</div><br /><br /><div>เมื่อกระบวนการทำปกหนังให้ขึ้นลายเสร็จสิ้น ก็มาถึงการเขียนลายให้เป็นสีทอง คุณอภิชัยเล่ากระบวนการนี้ แต่ก่อนอื่น ผีเสื้อแนะนำตัวบุคคลผู้นี้ว่าคุณอภิชัยเป็นคนดี ครั้งหนึ่งเมื่อสำนักพิมพ์ยากจน ช่วงรัฐบาลชวลิต เศรษฐกิจเจ๊งระเนระนาด ผีเสื้อก็ใกล้เจ๊งด้วย เขามาบอกว่าผมขอลดเงินเดือน อีกเดือนหนึ่งก็บอกอีกว่าผมขอลดเงินเดือน (ผีเสื้อสรุปว่าทำงานกับใครที่บอกว่าขอลดเงินเดือน คนนั้นจะเป็นคนดี ตรงข้ามกับคนที่ขอเพิ่มเงินเดือน) ปัจจุบันคุณอภิชัยเป็นอาจารย์ที่ศิลปากร เขาเล่าปัญหาการทำลายทองบนผืนหนังว่า สมัยอยุธยาเรามีการทำลายทอง แต่มักทำกับวัสดุอื่นเช่นไม้ แต่หนังมีน้ำมันเป็นส่วนประกอบ ถ้าเอาน้ำมันออก หนังจะแห้ง ดังนั้นจะทำอย่างไรจึงจะติดทองบนหนังได้</div><br /><br /><div><span style="color:#663366;">เบื้องหลังการเขียนลายทอง</span></div><br /><br /><div>เขาเริ่มต้นจากความไม่รู้และไม่ถนัดทางจิตรกรรมไทยนัก จึงสอบถามวิธีปิดทองจากเพื่อนผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ เพื่อนแนะนำว่าให้ซื้อสีน้ำมันยี่ห้อเฟล็กซ์ตราทหารที่บางลำพู ซึ่งเป็นยี่ห้อเดียวที่ช่างใช้ปิดพระพุทธรูป แต่ยังไม่เคยทดสอบติดบนผืนหนังมาก่อน วิธีการคือทาสีทองให้เรียบ รอให้สีแห้งแล้วปิดทองลงไป แต่แล้วก็พบปัญหาว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ แทนที่จะรอให้สีแห้งกลับต้องรอให้เพียงหมาดๆ แล้วปิดทองทับ จึงเสียวัวตัวที่ 6 ไปเนื่องจากผืนแรกๆ ที่ลองทำนั้นเสียใช้ไม่ได้ </div><br /><br /><div>สาเหตุจากการใช้ไม่ได้มีต่างๆ กัน เนื่องจากตัวหนังสือเล็กมาก ต้องใช้พู่กันเบอร์ 0 หรือบางครั้งเหงื่อจากมือลงไปผืนหนัง ก็ทำให้เสียอีก จนตอนหลังต้องเอาแป้งโรยผืนหนัง ต้องใช้เวลามากกว่าจะรู้กระบวนการ การเขียนและปิดทองหนัง 1 ผืนใช้เวลาประมาณ 2 วัน เมื่อปิดทองเสร็จแล้วต้องรอให้หมาด แล้วปัดฝุ่นเศษทองคำเปลวออก ศิลปินเล่าว่าสูดผงทองเข้าไปมาก ยามตายไปศพเขาน่าจะมีค่าไม่น้อย แต่อย่างไรคงไม่เท่าอีกคนหนึ่งที่สูดทองไปมากกว่าตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อเป็นช่างทอง<br /></div><br /><br /><div>'อีกคนหนึ่ง' นี้คือคุณเฉลิมชาติ จบจากเชียงใหม่ ผีเสื้อแนะนำว่าเป็นคนดีอีกเช่นกัน บางครั้งลืมจ่ายเงินเดือนต่อเนื่องกันนาน เขาไม่เคยว่าอะไร เขาเรียนจิตรกรรม และเป็นผู้วาดรูปประกอบและวาดรูปปกให้ผีเสื้อ คุณเฉลิมชาติเล่าว่าในการทำงานครั้งนี้ ไม่ว่าจะหันไปทางไหนต่างพบปัญหา ทั้งปัจจัยภายนอกเช่นด้านเทคนิค และปัจจัยภายในจากตัวเอง เขาเป็นคนขี้โรค ตาข้างหนึ่งใช้งานไม่ดีนัก ต้องเพ่งและออกแรงเวลาจำเป็นต้องเขียนงานประณีต สมัยเรียนจิตรกรรมไทย เขาได้เรียนการควบคุมลมหายใจให้สมดุล ให้มือไม่สั่น จะได้เส้นคมชัดสวยงาม แต่การทำงานปิดทองทำให้เปิดพัดลมไม่ได้ จำต้องเปิดแอร์ เขาแพ้อากาศจึงมีอาการน้ำมูกไหลหายใจติดขัดยามเปิดแอร์ แต่ต้องควบคุมลมหายใจให้นิ่ง นั่งสูดลมหายใจแล้วกลั้นใจเขียนตัวอักษรทีละตัว ตัวอักษรบางตัวซับซ้อน หรือหมดลมหายใจเข้า ทำให้ต้องลบทิ้งและเขียนใหม่ หรือบางครั้งน้ำมูกยืดลงไปบนปก (ปิดทองบนน้ำมูก) หรือเขียนตัวอักษรผิดบ้าง เบลอบ้าง หรือเกิดอุบัติเหตุตอนเข้าเล่มทำให้ต้องทำใหม่หมดก็มี</div><br /><br /><div>อุบัติเหตุที่ว่าก็เช่นเมื่อพิมพ์เสร็จแล้ว ต้องเอาแผ่นหนังเขียนลายทองไปให้ช่างเข้าปก ช่างเอาหนังเข้าโครงหนัง แล้วนำไปเข้าเล่ม บางทีเขาทำกาวเลอะ หรือเล็บไปกรีดหน้าแรกเข้า ขาด ทำให้ใช้ไม่ได้ ในงานนิทรรศการแสดงหน้าปกหนังฉบับต่างๆ ให้ดู<br /></div><div>ภายหลังงานเสวนา ข้าพเจ้าสอบถามศิลปินว่าตกลงเล่มที่ถวายกษัตริย์สเปนมีขี้มูกเขาติดอยู่จำนวนเท่าไร แต่เขาไม่ยอมพูดด้วยในเรื่องนี้</div><br /><br /><div>ตอนแรกนั้นผีเสื้อออกแบบรูปเล่มว่าจะเป็นเล่มเล็ก ขนาดหนามากๆๆ แต่คิดว่าจะลำบากตอนมอบให้กษัตริย์สเปน ตัวอย่างรูปเล่มแรกนี้แสดงไว้ในงานนิทรรศการ เป็นเล่มสีฟ้าเล่มหนา ส่วนสันหนังสือนั้นทำเป็นสันโค้ง ในเรื่องนี้คุณมกุฏกล่าวว่าเคยสงสัยว่าทำไมพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานจึงไม่ทำสันโค้ง ให้สังเกตว่าหนังสือโบราณเล่มหนาปกแข็งต้องใช้สันโค้ง เพราะใช้มืออุ้มแล้วไม่เจ็บ ให้ลองถือเทียบดูได้ แม้แต่หนังสือที่น้ำหนักเท่ากัน ระหว่างหนังสือสันโค้งและสันตรง จะพบว่ารู้สึกไม่เท่ากัน การทำสันโค้งสมัยนี้มีเครื่องจักรทำได้ แต่หนังสือสันโค้งที่ทำด้วยเครื่องและที่ทำด้วยมือมีอายุไม่เท่ากัน หนังสือเคาะด้วยมือทนทานกว่า ดอนกิโฆเต้ทุกเล่มเป็นหนังสือสันโค้งที่เคาะด้วยมือ</div><br /><br /><div>ในเบื้องต้น ผีเสื้อใช้ฟอนต์ EAC ในการพิมพ์หนังสือ แต่พบว่าพิมพ์ออกมาแล้วไม่สวย ไม่ใช่อารมณ์ของหนังสือที่กล่าวถึงเรื่อง 400 ปีมาแล้ว เนื้อเรื่องโบราณแต่ฟอนต์กลับสมัยใหม่ ทำให้ต้องไปรื้อหนังสือเก่าสมัย ร. 5 และ ร. 6 มาดู พบว่าราชกิจจานุเบกษามีตัวหล่อพิมพ์โบราณที่ใช้สืบเนื่องถึงรัชกาลที่ 6 ซึ่งมีผู้นำมาออกแบบใหม่เป็นฟอนต์ PSL-ThaiAntique แต่พบปัญหาคือเส้นบางเกินไป เมื่อนำมาพิมพ์เป็นหนังสือจะทำให้อ่านแล้วปวดตา จึงต้องแก้ปัญหา โดยคุณวิกรัยเพิ่มความหนาของตัวอักษร ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาในการจัดหน้ามากมาย แต่สุดท้ายก็คิดค้นให้ลงตัวจนได้</div><br /><br /><div>ชื่องานเสวนามีคำว่า 'เปาะเปี๊ยะ' ทำให้มีการเล่าถึงที่มาของเรื่องนี้ เนื่องจากผีเสื้อต้องทำงานหนังสือเล่มนี้ถึงดึกดื่นอยู่นานประมาณ 3 เดือน ทำงานถึงตีหนึ่งตีสองหรือตีสาม ในช่วงเวลานั้นร้านอาหารปิดแล้ว เมื่อมีร้านขายเปาะเปี๊ยะที่ปากซอยจึงซื้อเหมากลับมากินกัน นานเข้าๆ วันหนึ่งคุณณรรฐ ถามว่าวันนี้ไม่มีเปาะเปี๊ยะดอนฯ หรือ จึงทำให้ได้ชื่อเปาะเปี๊ยะดอนฯ คนทำงานผีเสื้อจะรู้สึกว่าเราได้แช่มชื่นอีกแล้วถ้ามีเปาะเปี๊ยะกิน เมื่อทำหนังสือเสร็จร้านขายเปาะเปี๊ยะหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่รู้ว่าหายไปเพราะรวย หรือเปาะเปี๊ยะนี้ถูกส่งมาโดยดอนกิโฆเต้ ขณะนี้เดินไปหาซื้อทุกวันก็ไม่มีแล้ว<br /><br /><br /></div><a href="http://bp2.blogger.com/_qHmI7yi1g6Y/Re0ZBSiuFSI/AAAAAAAAABo/RcruRStcyzA/s1600-h/manlamancha1.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5038711068045481250" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://bp2.blogger.com/_qHmI7yi1g6Y/Re0ZBSiuFSI/AAAAAAAAABo/RcruRStcyzA/s320/manlamancha1.jpg" border="0" /></a><br /><br /><span style="color:#663366;">ความใฝ่ฝันของดอนฯ แห่งลามันช่า ล้าสมัยแล้วหรือยัง </span><br /><br />งานเสวนาช่วงต่อมามีหัวข้อเร้าใจยิ่ง ว่าความใฝ่ฝันของดอนกิโฆเต้ล้าสมัยแล้วหรือยัง ร่วมเสวนาโดยคนหนุ่ม 4 ท่านดังแสดงในภาพ จากซ้ายไปขวาคือ อธิคม คุณาวุฒิ บรรณาธิการนิตยสาร <em>Way</em>, ยุทธนา มุกดาสนิท ผู้กำกับละครเพลง สู่ฝันอันยิ่งใหญ่, วชิระ บัวสนธ์ บรรณาธิการสำนักพิมพ์สามัญชน และ ดร. ชาติชาย นรเศรษฐาภรณ์ พิธีกรที่เก่งมาก (คุณสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ ขออภัยมา ณ ที่นี้ที่ไม่ได้มางาน เนื่องจากติดภารกิจรายการ คนค้นคน ที่หนองคาย กลับมาไม่ทัน คุณสุทธิพงษ์เป็นหนึ่งในผู้กำกับเวที และเล่นละครเป็นคนของศาลศาสนา)<br /><br /><span style="color:#663366;">คุณยุทธนาคิดอย่างไร ถึงทำละครสู่ฝันอันยิ่งใหญ่</span><br /><br />คณะละคร 28 ก่อตั้งในปี 2528 จัดทำละครเรื่องแรกคือ กาลิเลโอ (2528) ประสบความสำเร็จพอสมควร และเรื่องที่สองคือ สู่ฝันอันยิ่งใหญ่ (2530) มีโปรดิวเซอร์คือคุณปนัดดา เลิศล้ำอำไพ และคุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี สมัยผมเรียนอาจารย์ให้อ่านบทละครเพลงต่างๆ ตอนเรียนหนังสือ และประทับใจอะไรไม่เท่ากับ Man of La Mancha ทั้งในรูปแบบและเนื้อหา ผู้เขียนบทละครดัดแปลงเล่าช่วงชีวิตของเซร์บันเตส ผู้เขียนดอนกิโฆเต้ที่ถูกจับตัว ซึ่งเขาเล่าเรื่องดอนกิโฆเต้ให้คนคุกฟัง บทละครเรื่องนี้ดีมาก หลังจากนั้นมีหนังฮอลลีวูดแสดงนำโดย ปีเตอร์ โอทูล และโซเฟีย ลอเรน ซึ่งดูแล้วสู้บทละครไม่ได้ แม้จะเป็นนักแสดงอย่างโอทูล และลอเรนที่เล่นดีมาก<br /><br /><blockquote><span style="color:#333399;">ไม่ว่าสภาพความเป็นจริงจะเป็นอย่างไร ก็ไม่อาจมาขวางกั้นขอบเขตแห่งจิตนาการ<br />แม้ในยามอับจนสิ้นไร้ ความฝันใฝ่ก็ยังปราศจากเขตแดน<br />ณ คุกใต้ดินแห่งหนึ่งในนครเซวิลล์ ประเทศสเปน<br />มิเกล เด เซร์บันเตส นักประพันธ์เอกของโลกถูกศาลศาสนาจับกุมมาคุมขังรวมกับนักโทษอื่นๆ ซึ่งมีทั้งหัวขโมย ฆาตกร แมงดาและโสเภณี<br />บรรดานักโทษเหล่านี้ ล้วนอยู่กันอย่างซังกะตาย<br />ทุกคนต่างหมดสิ้นความหวังในชีวิตและภายในคุกนี้<br />เซร์บันเตสก็ยังถูกนักโทษด้วยกันกล่าวหาว่าเป็นนักอุดมคติ<br />กวีชั้นเลวและคนซื่อ<br />ซึ่งเขาก็ยอมรับในข้อกล่าวหา<br />แต่เซร์บันเตสก็ยังขอโอกาสต่อสู้คดีเพื่อแก้ข้อกล่าวหา<br />ด้วยการนำเสนอละคร อันเป็นเรื่องราวของ ดอนกิโฆเต้ อัศวินแห่งลามันช่า<br />ผู้พร้อมที่จะต่อสู้กับเหล่าอธรรม และใฝ่ฝันถึงแต่สิ่งที่ดีงาม<br />แล้วเขาก็ได้จุดไฟฝันให้สว่างขึ้นมาในหัวใจของปรรดาผู้สิ้นไร้<br />ซึ่งครั้งหนึ่งต้องดำรงอยู่อย่างยอมรับสภาพความจริง ของชีวิตอันยากแค้นขมขื่น<br />--- จาก สู่ฝันอันยิ่งใหญ่ โดย มัทนี เกษกมล</span><br /></blockquote><br /><br />คุณยุทธนากล่าวว่าหนังและละครนั้นต่างกัน หนังจำกัดจินตนาการคนเรา ในขณะที่บทละครเข้าถึงตัวละครที่ซับซ้อน และเปิดช่องว่างสำหรับจินตนาการให้เข้าสู่โลกความนึกฝันของดอนกิโฆเต้ การชมละครนั้นมีมนต์เสน่ห์ที่เรียกว่า Magic of Theatre ที่คนดูและละครดำเนินไปในเวลาจริง (real time) ความรู้สึกตรงกับคนดูมากกว่าหนังภาพยนตร์ที่เป็นสูตรสำเร็จแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ โอทูลยังไม่สามารถแสดงบทบาทออกมาดีเท่าละครที่เคยอ่าน คุณยุทธนาจึงเสนอให้คณะละคร 28 ทำละครเรื่องนี้ แต่ปัญหาคือจะหาทุนจากไหน คณะละคร 28 เป็นเพียงคณะละครจนๆ แต่แล้วละครเพลงเรื่องนี้ก็เริ่มทำขึ้นด้วยอุดมคติของดอนกิโฆเต้ คือการดำรงอยู่เพื่อชีวิตที่ดีกว่า การฝันและมุ่งไปตามสิ่งที่ฝัน<br /><br />ละครเพลงเรื่องนี้ใช้พระเอก 2 คน คือศรัณยู วงษ์กระจ่าง และ จรัล มโนเพชร ที่มีพระเอกถึงสองคนนั้น ที่จริงมีพระเอกคนที่สาม คือคุณพรศิลป์ ที่เล่นเป็น กาลิเลโอ เป็นผู้ร้องเพลงเพราะ ในสมัยนั้นหานักร้องยาก นักแสดงต้องเก่งทั้งการร้อง เต้น และการเล่นละคร เมื่อการซ้อมเข้าสู่ช่วง 3 อาทิตย์สุดท้าย ตัวละครเอกบอกว่าไม่อาจทำได้ทั้ง 3 อย่าง (คือร้อง เต้น และเล่นละคร) จึงขอถอนตัว ผู้กำกับรับเอาศรัณยูผู้ต้องการรับบทนี้มาเล่น แม้จะ "ไม่เชื่อใจความสามารถการร้องเพลงเลย" และนำ จรัล มโนเพชร มารับบทบาทดอนกิโฆเต้ แม้จะไม่แน่ใจว่าคุณจรัลจะเต้นได้ไหม ด้วยเขาไม่เคยเล่นละครเวทีมาก่อน นักแสดงสองท่านนี้รับบทดอนกิโฆเต้สลับรอบกัน ซึ่งเป็นบทหนักมาก ด้วยต้องเล่นเป็น 3 ตัวละครคือ เซร์บันเตส, อล็องโซ กิฆาน่า และดอนกิโฆเต้ ดำเนินเรื่องตลอด 2 ชั่วโมงครึ่งโดยไม่มีเวลาพักครึ่ง<br /><br />ละครเรื่องนี้มี 2 องก์ ไม่มีพักครึ่ง ซึ่งเข้าใจได้ว่าไม่ต้องการให้ผู้ชมหลุดไปสู่โลกความจริง ตัวละครในเรื่องนี้มีแต่คนรากหญ้า คนคุก คนโสมม และต้องการทำให้ผู้ชมเป็นคนต่ำที่สุด แต่ทุกคนมีความฝันถึงโลกนี้ที่ดีกว่า<br /><br />ละครเรื่องนี้มีการร้องไห้ตบตีกันมากเพราะมัน 'push' ปกติต้องใช้เวลาซ้อมนานกว่านี้ แต่นี่รีบ เช้าต้องซ้อม 13.00-17.00 ซ้อมการแสดง หนึ่งทุ่มถึงสามทุ่มร้องเพลง สามทุ่มถึงเที่ยงคืนเอาทุกอย่างมารวมกัน จึงเป็นการเร่งรัดตัวเอกอย่างยิ่ง เนื่องจากนักแสดงอื่นซ้อมมาแล้ว 3-4 เดือน เช่นคุณนรินทร ดังนั้นจึงไปไม่พร้อมกัน แต่ทุกคนต้องทำงานเป็นทีม<br /><br /><span style="color:#663366;">สู่ฝันอันยิ่งใหญ่ ในมุมมองวชิระ บัวสนธ์<br /></span><br />คุณเวียง วชิระ กล่าวถึงละครเรื่องนี้ว่า 20 ปีที่แล้ว ผมหนุ่มแน่นกว่านี้ รู้จักดอนกิโฆเต้ครั้งแรกด้วยไปอ่านที่ไหนไม่ทราบ อาจจะเป็น อ.เปลื้อง ณ นคร หรือ เจือ สตะเวทิน จำได้ว่าชื่อที่ผ่านหูคือดอนควิโซต จนเริ่มรู้จักที่ถนนหนังสือ พี่หง่าว (คุณยุทธนา) พี่สุชาติ สวัสดิ์ศรี มีโครงการทำละครเวที อ่านบทความในถนนหนังสือจึงได้รับรู้เรื่องราว มีโอกาสไปดูที่โรงละครแห่งชาติ ถึง 3, 4, 5 รอบ ตั้งแต่รอบสื่อมวลชน ผมจำหน้าตาพี่หง่าววันนั้นได้ชัดเจน เมื่อรอบสุดท้ายงานเลิกมีปาร์ตี้ ผู้ชายตัวเล็กคนนี้มีดวงตาที่ส่งประกายวาววิบออกมา ผมเคยคิดว่าถ้ามนุษย์สักคนมีความสุขจะมีอาการอย่างไร และเห็นได้ว่าพี่หง่าวมีความสุข ย้อนก่อนหน้านั้นไม่กี่นาที ผมเป็นหนึ่งในหลายๆ คนที่ดูละคร ถ้าใครดูละครและหัวใจไม่ได้ทำด้วยหินผา ถ้าน้ำตาไม่ไหลก็ต้องน้ำตารื้น ในฉากที่ดุลสิเนอามาบอกให้ดอนกิโฆเต้ตื่นฟื้นขึ้นจากเตียงที่นอนซมอยู่<br /><br />จากกระบวนการเหล่านี้ที่ผมเห็นตั้งแต่สมัยวัยเยาว์ ถ้าคนเหล่านี้ไม่มีจินตนาการหรือความใฝ่ฝัน ซึ่งอาจเห็นว่าวิกลจริตก็ได้หรือเห็นว่ามีความใฝ่ฝันสุกสกาวก็ได้ แต่ถ้าไม่มีความใฝ่ฝันนั้นแล้ว ผมคิดไม่ออกว่าทำออกมาได้อย่างไร แม้นิยายกับบทละครจะไม่เหมือนกันเสียทีเดียว แต่อย่างน้อยแก่นเรื่องหรือหัวใจของงานเขียนชิ้นนี้ยังคงอยู่ ในแง่อุดมคติและความใฝ่ฝัน ถ้าเรากลับไปสำรวจตรวจสอบจริงๆ ตั้งคำถามว่าความใฝ่ฝันของดอนกิโฆเต้เป็นอย่างไร เขาอยากเป็นอัศวิน มีนางในดวงใจ ในหนังสือเป็นหญิงชาวนา ในบทละครคือโสเภณี ซึ่งต่างเป็นสามัญชน ไม่ใช่เจ้าหญิงสูงศักดิ์ แต่ดอนกิโฆเต้กลับเห็นเป็นนางในดวงใจ ผมอ่านแล้วกลับมาคิดถึงสภาพสังคมไทย ผู้นำของเราสมัยก่อน 19 กันยายน จริงๆ แล้วมีอุดมคติประมาณนี้อยู่หรือไม่ ผมยังสงสัยอยู่เหมือนกัน<br /><br /><span style="color:#663366;">คุณอธิคม พูดถึง สู่ฝันอันยิ่งใหญ่<br /></span><br />ตอนละครฉายผมกำลังจะสอบเอ็นทรานซ์ เรื่องนี้มีพลังในการบอกต่อ รอบแรกๆ คนไม่มาก แต่ช่วงปลายมีคนล้นโรงละคร จากหนังสือบทละครที่ อ. มัทนีแปล และการได้รับฟังจากสื่อต่างๆ ที่ขวนขวายหามาอ่าน ละครเพลงนี้ให้น้ำหนักความคิด ความฝัน ความกล้าจะประกาศให้รู้ว่าโลกและสังคมควรเป็นอย่างไร ขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่ยอมรับโลกที่เป็นอยู่ มีแต่คนบ้าอย่างดอนกิโฆเต้ที่ต่อสู้คัดง้างและบอกว่าโลกควรเป็นอย่างไร<br /><br />เนื่องจากนิยายมีอายุกว่า 400 ปี จึงเป็นธรรมดาที่จะถูกตีความ ให้ค่า ดึงประเด็นออกมาใช้สอยให้สอดคล้องกับอุดมการณ์ทางการเมืองในแต่ละยุค เป็นไปได้ว่าผู้เขียนบทละครหยิบบางประเด็นมาใช้ คือความคิดความฝันของดอนกิโฆเต้ แต่มุมมองส่วนตัวของผมขณะอ่านนิยายแล้ว เซร์บันเตสกล่าวย้ำผู้อ่านตั้งแต่ต้นและบอกเป็นระยะๆ ตลอดเรื่องว่าดอนกิโฆเต้เป็นชายวิกลจริต น้ำหนักความเป็นนักฝันถูกตั้งข้อสงสัยหรือถูกเบรค แต่สังคมที่แวดล้อมดอนกิโฆเต้ ก็มีลักษณะสังคมที่ค่อนข้างเหลวไหลพอๆ กัน ทั้งความขี้ขลาด เอาตัวรอด เจ้าเล่ห์เพทุบายต่างๆ เช่นตอนหนึ่งที่ดอนกิโฆเต้ช่วยปล่อยทาสฝีพาย ผลคือถูกขว้างก้อนหินใส่ ผมตีความว่าภาพดอนและสังคมแวดล้อมมีความฉูดฉาดทั้งสองขั้ว<br /><br />นิยายเรื่องนี้บอกต่อผ่านรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัย ฝึกให้กล้าจินตนาการ ตั้งคำถามกับโลกและสังคม กล้าลุกขึ้นมาบอกว่าโลกควรเป็นอย่างไร แทนที่จะยอมรับว่าโลกเป็นเช่นนี้ หนังสือเรื่องนี้มีอิทธิพลการบอกต่อสูงมาก แต่เราควรรู้ว่าอาจบอกต่อโดยหยิบเพียงบางประเด็นมาใช้เท่านั้น<br /><br /><span style="color:#663366;">ความฝันและความบ้ามีเส้นแบ่งบางเบามาก คุณยุทธนาคิดว่าดอนกิโฆเต้บ้าหรือไม่<br /></span><br />นวนิยายดอนกิโฆเต้เป็นเรื่องอัศวินที่ออกไปสู้กับคุณธรรม ซึ่งอยู่มาได้นานถึง 400 ปี หากกลับกันคือว่าถ้าสังคมนี้มันบ้าล่ะ คนนี้ก็เป็นคนดีที่ทำให้โลกนี้ดีกว่า นี่คือประเด็นที่ทำให้เรื่องนี้อยู่มาได้ 400 ปี ประเด็นของหนุ่มสาวที่มองโลกอย่างที่ควรเป็น ยึดความดีงาม มนุษย์ทุกคนใฝ่ฝันจะพบความดีงาม บางคนอยู่เฉยๆ ฝันเฟื่องไปเท่านั้น แต่ดอนกิโฆเต้ทำให้โลกนี้ดีขึ้น ดีกว่าเดิมทุกวันทุกเช้า นี่คือสิ่งที่มนุษย์อยากเป็น เช่นใน ผีเสื้อและดอกไม้ เช่นกัน เป็นเรื่องของมนุษย์กับความดีงาม ความบ้าความไม่บ้าถูกกำหนดโดยสังคม ทุกคนเป็น Man of La Mancha ได้ นัยยะนี้อยู่ในนิยาย แต่บทละครสรุปความได้คมคาย นั่นคือคำว่า Man คือทุกคน ละครเพลงเรื่องนี้จับแก่นออกมาได้ดี ออกมาเป็นเพลงเช่น The Quest และ Impossible Dream ละครที่สรุปนิยายยาวขนาดนี้ต้องจับประเด็นเด่นๆ คมๆ แล้วสรุปออกมา การมองโลกอย่างที่ควรเป็นถือเป็นสิ่งสูงค่าและมีเกียรติ (noble) ทุกคนหวังว่าอยากให้โลกนี้ดีกว่า ถ้าสิ่งนี้เรียกว่าบ้า น่าจะมีหลายคนที่พร้อมบ้าอย่างนั้น ซึ่งทำให้หนังสืออยู่มาได้นาน<br /><br /><span style="color:#663366;">พิธีกรถามว่าในละครมีฉากสำคัญหนึ่ง คือดอนกิโฆเต้สู้เพื่อปกป้องอัลดอนซ่า ดอนกิโฆเต้บอกว่าจะไปรักษาบาดแผลคนต้อนล่อ นางอัลดอนซ่าบอกว่าไปเองก็ได้ ในที่สุดถูกคนต้อนล่อข่มขืน ถ้าทำดีแล้วได้รับการตอบสนองแบบนี้ จะทำให้แนวคิดของดอนกิโฆเต้เป็นไปได้ในสังคมปัจจุบันหรือไม่<br /></span><br />คุณวชิระตอบว่าโลกที่เป็นอยู่มักเป็นอย่างนั้น เวลาคุณมีปรารถนาดี ทำสิ่งดีๆ ไม่เสมอไปที่จะได้ผลลัพธ์ที่ดี ส่วนใหญ่ได้ผลที่คาดไม่ถึง กรณีนี้ผมเข้าใจว่ามีฉากถัดจากนั้น ที่อัลดอนซามาชี้หน้าด่าว่าคุณธรรมบัญชาเป็นอย่างไรล่ะ ถูกข่มขืนยับเยินก็เห็นอยู่ แต่หัวใจชี้ขาดจะอยู่ฉากท้ายๆ ช่วงหนึ่งดูเหมือนอัลดอนซาจะเคลิ้มไปกับดอนกิโฆเต้ จนรู้สึกว่าข้าพเจ้าไม่ใช่อัลดอนซาแต่เป็นดุลสิเนอา แต่พอถูกข่มขืนก็กลับสู่โลกจริง ไม่เอาแล้วที่เป็นแม่หญิง จุดเปลี่ยนอยู่ตอนท้าย พอดอนกิโฆเต้กลับสู่โลกจริง เขาจำไม่ได้แล้วว่าเคยรู้จักคนนี้หรือ เคยรู้จักซานโช่หรือ แต่ได้มารื้อฟื้นความทรงจำ จินตนาการและความใฝ่ฝันให้กลับมา ถึงในละครดอนกิโฆเต้จะตาย คนในบ้านยืนยันว่าตายแล้ว แต่อัลดอนซายืนยันว่าเขามีชีวิตอยู่ ดอนกิโฆเต้ยังคงอยู่ ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร ความใฝ่ฝันยังคงอยู่ ดอนกิโฆเต้เป็นสัญลักษณ์ของความใฝ่ฝัน ถึงโลกที่ควรจะเป็น ไม่ใช่โลกที่เป็นอยู่<br /><br /><span style="color:#663366;">คุณอธิคม บอกว่าผู้ที่มีคุณธรรม จริยธรรม อยู่ลำบากไหมในสังคมปัจจุบัน<br /></span><br />หลายคนคงอยากเป็นนักฝันผู้ยิ่งใหญ่ แต่โดนมากๆ เข้าก็อาจเปลี่ยนใจได้ง่าย สิ่งนี้ไม่ล้าสมัยเพราะไม่เคยถูกบรรจุในยุคสมัย ไม่เคยมีมาแต่อ้อนแต่ออก ไม่ถูกนับเป็นกระแสหลักของสังคม แต่จะมีคนอย่างดอนกิโฆเต้ เมื่ออ่านเรื่องนี้แล้วอดไม่ได้จะเทียบถึง The Old Man and the Sea ตอนสุดท้ายชายหาปลากลับคืนฝั่ง ไปพักผ่อนที่บ้านริมทะเล ไม่มีใครรับรู้วีรกรรมครั้งนั้น ผู้คนเพิกเฉยต่อวีรกรรมของคนๆ หนึ่งโดยไม่ให้ค่าอะไรเลย ท้ายที่สุด ดอนกิโฆเต้ยอมรับสภาพว่าที่ผ่านมาเขาบ้าไป มีการเหลื่อมกันระหว่างดอนกิโฆเต้และคนหาปลา ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมกระแสหลักไม่ค่อยจดจำคนลักษณะนี้ และมีวิธีวัดและให้ค่าอีกรูปแบบหนึ่ง<br /><br />ตอนหนึ่งในละคร อัลดอนซาสนทนากับดอนกิโฆเต้ด้วยความสงสัยว่า ทำไมจะต้องทำอย่างนี้ด้วย ทำไมต้องทำตัวเป็นวีรบุรุษ เป็นอัศวินอยู่นั่นแล้ว เขาตอบว่า<br /><br /><blockquote><p><span style="color:#333399;">ดอนกิโฆเต้ : ข้าหวังว่าจะเพิ่มความสง่างามให้แก่โลกได้บ้าง<br /></span><span style="color:#333399;">อัลดอนซา : ไม่มีทาง ลงท้ายคุณนั่นแหละจะพ่ายแพ้จนยับเยิน<br />ดอนกิโฆเต้ : ชนะหรือแพ้ย่อมไม่สำคัญ<br />อัลดอนซา : แล้วอะไรล่ะที่สำคัญ<br />ดอนกิโฆเต้ : ขอเพียงได้ดำเนินรอยตามความใฝ่ฝัน<br />อัลดอนซา : ถุย นี่ไงความใฝ่ฝัน (หันหลังกลับเดินฉับๆจากไป แต่แล้วก็หยุด เดินกลับมา) ความใฝ่ฝันมันเป็นยังไง<br />ดอนกิโฆเต้ : มันคือภารกิจของอัศวินทุกคน....เป็นหน้าที่...หามิได้ เป็นอภิสิทธิ์ของเขาต่างหาก<br /></p></span></blockquote><br />คุณยุทธนากล่าวว่าผมคิดว่ามนุษย์ทุกคนใฝ่ดีเป็นหลัก แต่สภาพสังคมทำให้เราต้องคลุกเคล้ากับสภาพสังคมที่เหลื่อมล้ำกันหลายชั้น อภิสิทธิ์ที่ดอนกิโฆเต้กล่าวถึงคือสิ่งที่เราจะรับรู้ได้เอง ซึ่งเพลง The Quest ต่อมาได้กลายเป็น แสงดาวแห่งศรัทธา เป็นความฝันอันสูงสุด ผมว่าดูละครเรื่องนี้แล้วยกระดับจิตใจ ที่เห็นผมมีความสุข ก็อาจเพราะได้รับการยกระดับจิตใจโดยไม่รู้ตัว ช่วงนั้นเราเป็นบ้าหรือเปล่าจะเอาอะไรมาวัด ชีวิตกับความดีงามน่าจะเป็นของคู่กันแน่ๆ แต่การจะฟันฝ่าไปสู่ความดีงาม ต้องแก้ไข ผจญหลายอย่าง ต้องอยู่ที่ guts (กึ๋น) ของตัวเองที่ต้องไม่ลืมอุดมคตินี้ไป ยกเว้นจะเหือดแห้งไปเลย ก็พวกละโมบ โลภ คอรัปชั่น ขาดจริยธรรมตั้งแต่ต้น คือไม่มีตั้งแต่แรก<br /><br />คุณวชิระกล่าวเสริมว่าสมัยผมหนุ่ม รุ่นพี่จะชี้แนะ เมื่อรู้จักดอนกิโฆเต้ฉบับละคร ฉบับเยาวชนที่พี่ศรีดาวเรืองแปล ขอพูดว่าไหนๆ พวกเราในฐานะคนของสังคม ตอนแรกผมงง ทำไมพวกเราไม่มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มนี้ ว่าเป็นหนังสือดีที่สุดในโลก Of Mice and Men ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องนี้ หรืองานวรรณกรรมบู๊ลิ้มก็มีลักษณะร่วมกัน ตัวละครไปเจอกันที่เรือนแรมแล้วเรื่องคลี่คลาย ผู้หญิงในเรื่องดอนกิโฆเต้ ยกเว้นแต่อัลดอนซาและมารีตอร์เนส หญิงรับใช้ที่โรงเตี๊ยมแล้ว นอกนั้นสวยทุกตัว ซึ่งเป็นขนบของวรรณกรรมบู๊ลิ้ม ถ้าใครรู้จักหนังสือเรื่องนี้ ควรมีหนังสือเก็บไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นจะเป็นบาปชนิดหนึ่ง<br /><br />คุณอธิคมทิ้งท้ายว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะได้อ่านกัน อย่างน้อยควรมีไว้บ้านละหนึ่งเล่ม ดังที่ปกหลังบอกไว้ว่าหนังสือเรื่องนี้เก็บไว้ให้ถึงรุ่นลูกหลานอ่านได้ ผมเคยเขียนในสีสันว่าชื่นชมผีเสื้อที่กล้าหาญพิมพ์งานขนาดนี้ออกมา ทั้งที่ต้องแบกรับต้นทุนสูงมาก ความคิดความฝันมีอยู่ในยีนมนุษย์ทุกคน พอเราถูกทดสอบเฆี่ยนโบยมากเข้าๆ จะมีคนจำนวนหนึ่งค่อยๆ กลายพันธุ์เป็นอีกแบบหนึ่ง ในนิยายเรื่อง ก็องดิด ของวอลแตร์ ตัวละครเอกแสวงหา ดิ้นรน เดินทาง เพียรพยายามหาความจริงแท้ของชีวิตว่าโลกควรเป็นอย่างไร แต่หลังจากการถูกเฆี่ยนโบยโดยชะตากรรมทั้งปวง กลับไม่ได้อะไรเลย แม้แต่พระเจ้ายังมองไม่เห็น วอลแตร์ถามว่าถ้ารู้อย่างนี้ว่าสู้ไป ดิ้นรนไป ก็จะไม่ได้อะไรเลย ไม่ได้เสียงสรรเสริญ ไม่ได้ถูกรับเชิญให้เข้าไปในดินแดนของพระเจ้า มนุษย์จะยังเชื่อมั่นได้หรือไม่ ความคิดนี้อยู่ในวรรณกรรมหลายเรื่อง ไม่เฉพาะดอนกิโฆเต้ฯ<br /><br />คุณชาติชายกล่าวว่าสุดท้ายแล้ว ดอนกิโฆเต้กล่าวว่า ที่สุดของความบ้าทั้งปวงคือมองชีวิตอย่างที่มันเป็น แทนที่จะมองชีวิตอย่างที่ควรเป็น เมื่อถามคุณยุทธนาว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะได้ดูละครอีก คุณยุทธนาตอบว่าอะไรๆ ก็เป็นไปได้ แต่ตัวเองไม่เคยทำงานซ้ำๆ ทีมงานละคร 28 ที่เรียกประชุมไปบอกว่ายินดี พร้อมช่วยเหลือ ที่ผ่านมาคุณยุทธนาทำแต่เรื่องคนคุก ละครตัวเองไม่พ้นคุก อยากทำสวยๆ แบบทวิภพบ้างแต่ทำไม่เป็น อยากทำแต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความต่ำทราม แต่ให้ความรู้สึกดีงาม เพราะคิดว่าเป็นเรื่องยาก ถ้าทำได้จะมีความสุข<br /><br />ก่อนฉายละครเพลงสู่ฝันอันยิ่งใหญ่ คุณยุทธนาบอกว่าละครจะพูดของมันเอง ละครที่จะฉายนั้นช่องสามเป็นผู้ถ่ายทำ เป็นรอบที่คุณศรัญยู ซึ่งเป็นดาราสังกัดช่องสามเล่น ตอนนั้นผู้ถ่ายทำขอให้ดันไฟขึ้น เพราะกล้องสมัยนั้นจับแสงไม่พอ แต่คุณยุทธนาไม่ยอมด้วยจะรบกวนการแสดง ดังนั้นภาพในเทปอาจเห็นไม่ชัดนัก<br /><br />คุณยุทธนาเล่าว่าละครเรื่องนี้พูดผ่านผู้ประพันธ์ ถึงชีวิตที่อยู่ไปวันๆ เพื่อสิ่งที่ดีงาม เซร์บันเตสในละครกล่าวถึงประสบการณ์สมัยไปสงครามดังนี้<br /><br /><blockquote><span style="color:#333399;">ผมอยู่มาเกือบห้าสิบปีแล้ว ผมได้เห็นชีวิตอย่างที่มันเป็น เห็นความเจ็บปวด<br />ทุกข์ยากหิวโหย.. มันเป็นความโหดร้ายเกินกว่าจะทำใจให้เชื่อได้<br />ผมได้ยินเสียงคนเมาร้องเพลงดังมาจากร้านขายเหล้า<br />ได้ยินเสียงครวญครางดังมาจากกองขยะข้างถนน<br />ผมเคยเป็นทหารและได้เห็นเพื่อนล้มลงในสนามรบ ... หรือไม่ ก็ค่อยๆ<br />ตายไปทีละน้อยอย่างทรมานผมเคยโอบพวกเขาไว้ในอ้อมแขนเมื่อวาระสุดท้ายมาถึงคนเหล่านี้ล้วนมองชีวิตอย่างที่มันเป็น<br />กระนั้นก็ยังตายอย่างสิ้นหวัง ไม่เคยรู้จักความรุ่งโรจน์<br />ไม่เคยเอ่ยคำอำลาโลกอย่างกล้าหาญ ..มีแต่ดวงตาที่เต็มไปด้วยความสับสน<br />เฝ้าสะอึกสะอื้นถามว่า "ทำไม" เขาคงไม่ได้ถามว่าทำไมเขาต้องตาย<br />หากปรารถนาจะถามว่าทำไมจึงต้องมีชีวิตอยู่ด้วยเล่า</span> </blockquote><br /><br />เซร์บันเตสเห็นคนที่ตื่นขึ้นอย่างไม่มีความหวัง เมื่อตาย มองไปในแววตาแล้วเห็นว่าไม่มีอะไรเลย เขาเกิดมาทำไม ฉากนี้ซ้อมจนคุณศรัญยูหมดแรง คุณยุทธนาบอกว่าชอบฉากนี้มาก และอยากให้ดูการออกแบบท่าเต้นในละครเรื่องนี้ โดยคุณมานูเอล อาลูม ซึ่งเสียชีวิตไปไม่นานนี้ ผมว่าการออกแบบท่าเต้นดีมาก ไม่เคยเห็นใครออกแบบท่าเต้นระดับนี้ ถ่ายทอดความรู้สึกออกมาน่าสนใจ มีหลายฉาก มีเพลงเล็กเพลงน้อยที่มีท่าเต้นบอกความหมายของฉาก<br /><br /><span style="color:#663366;">ชมเทปละครเพลง สู่ฝันอันยิ่งใหญ่<br /></span><br />และแล้วเวลาที่หลายคนรอคอยก็มาถึง ข้าพเจ้าอยากบอกว่าละครเรื่องนี้ทำดีมากเหลือเกิน แม้จะชมจากเทปที่บันทึกไว้ซึ่งไม่ใช่การแสดงสด แต่เป็นละครที่ดีมาก คุณศรัญยูเล่นดีอย่างชนิดน่าชื่นชม และน่าจะเป็นนักแสดงผู้เป็นที่อิจฉาคนหนึ่ง อะไรจะเคยเล่นเป็นตัวละครสำคัญของโลกทั้งดอนกิโฆเต้ และแฮมเล็ต ส่วนดุลสิเนอาโดยคุณนรินทรเล่นดีมาก ร้องเพลงดี ดูแล้วตกใจเล็กน้อยว่าเธออาจจะเปลืองเนื้อตัวไม่ใช่น้อย ซานโช่นั้นน่ารักมาก ใครรักซานโช่จะต้องไปชมฉากร้องเพลง 'ผมชอบเขา' ที่ว่า "ผมชอบเขา จริงจริงนะผมชอบเขา จะเอาผมไปต้มไปยำอย่างไร ก็ยังชอบ" ซึ่งน่ารักเป็นที่สุด<br /><br />ละครเรื่องนี้ดึงดูดให้ผู้ชมร่วมไปกับความใฝ่ฝันของดอนกิโฆเต้ ให้ซาบซึ้งกับอุดมคติและนับถือยกย่องเขา ฉากสุดท้ายที่ดุลสิเนอามาอยู่ข้างเตียงของดอนกิโฆเต้นั้น น่าประทับจนข้าพเจ้าน้ำตาไหล และถ้าไม่ได้ชมในที่สาธารณะคงจะร้องห่มร้องไห้หนักหนากว่านี้ ไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดละครนี้จึงอยู่ในดวงใจใครหลายคน และเป็นที่กล่าวขวัญมาจนกระทั่งวันนี้ ความใฝ่ฝันและการยึดมั่นในความดีงามอย่างไรเล่าที่เราต้องยึดถือ ดูละครแล้วอยากให้มีการนำกลับมาสร้างใหม่เสียจริง ในเรื่องนี้คุณมกุฏแห่งสำนักพิมพ์ผีเสื้อได้คิดการใหญ่และชักชวนคุณยุทธนาว่า น่าจะทำละครเรื่องนี้ออกมาอีกนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นได้จริง นั่นคงทำให้หลายคนสมหวัง<br /><br />ขอจบการรายงานนี้ด้วยสาส์นรักจากดอนกิโฆเต้ ถึงแม่หญิงดุลสิเนอา จากหนังสือ สาส์นรักนี้ได้ชื่อว่าเป็นจดหมายรักที่ดีที่สุดในโลก ในละครเพลงนั้นกล่าวว่า<br /><br /><blockquote><span style="color:#333399;">ยอดหญิงมิ่งขวัญ สุดบูชาของข้าเอ๋ย อัศวินผู้จงรักขอสยบแทบเท้า รับใช้นางจนหมดหัวใจ<br />โอ้ นางผู้งามยิ่งกว่าสตรีใดในหล้า พิสุทธิ์ดุจน้ำค้างยามอรุณรุ่ง<br />สุดจะสรรหาถ้อยคำมาพรรณา...ดุลสิเนอา<br />โปรดเมตตาให้ข้าได้อาจเอื้อมจุมพิตแม้เพียงชายอาภรณ์<br />และขอวอนให้นางมอบสิ่งอันเป็นมิ่งขวัญ เทอดไว้แนบกายยามออกศึก</span></blockquote><br /><br />ส่วนสาส์นรักในหนังสือเป็นดังนี้<br /><br /><blockquote><p><span style="color:#333399;">แม่หญิงราชนิกุลผู้สูงส่ง<br /></span><span style="color:#333399;"><br />บุรุษผู้ทุกข์ระทมด้วยมิได้พบประสบพักตร์แลผู้มีบาดแผลลึกในหัวใจ<br />ขอส่งความปรารถนาดีแด่แม่หญิงดุลสิเนอาแห่งโตโบโซ่ผู้หวานล้ำ<br />ขอแม่หญิงมีเรือนกายแข็งแรง อันเป็นสิ่งที่ข้ามิมี<br />หากแม่หญิงผู้งามพิลาสหมิ่นแคลนข้า แลหากนางไม่มีหัวใจให้ข้าสักน้อยนิด<br />ความเมินเฉยของนางคือความตรอมตรมแห่งข้า แม้ข้าทนทุกข์ได้ทุกเมื่อ<br />ทว่าแทบมิอาจทานความระทมอันหนักหน่วงนานเนิ่น บัดนี้<br />อัศวินสำรองผู้ภักดีของข้านามซานโช่ จะเป็นผู้เล่าให้แม่หญิงได้สดับ โอ้<br />โฉมงามผู้ไร้เมตตา โอ้ ศัตรูอันเป็นที่รัก ข้าเฝ้ารอความการุณย์จากแม่หญิง<br />แม้นางประสงค์จะชุบชีวิตข้า ข้าอยู่ในเงื้อมมือแห่งนางแล้ว<br />หาไม่ก็จงกระทำตามแต่ใจนางปรารถนาเถิด ชีวิตข้าจัดได้ด่าวดิ้น<br />สนองความโหดร้ายแห่งนางแลปรารถนาแห่งข้า<br /><br />ทาสรักของแม่หญิงตราบสิ้นลมปราณ<br />อัศวินหน้าเศร้า</span> </p></blockquote>Don de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-3730209939703745791.post-58772750995872745042007-03-05T09:19:00.001+07:002007-03-05T09:19:20.274+07:00ประกาศชื่อผู้ได้รับรางวัลจากบัตรร่วมงานสำนักพิมพ์ผีเสื้อจะส่งหนังสือ ดอนกิโฆเต้ฯ ไปตามที่อยู่ในบัตรร่วมงาน<br /><br /><span style="color:#663366;">วันที่ 3 มีนาคม</span><br />คุณสุนทรี พิรุณสาร จาก หลักสี่ กรุงเทพฯ<br /><br /><span style="color:#663366;">วันที่ 4 มีนาคม</span><br />คุณศรีลักษณ์ จาก สีลม กรุงเทพฯ<br /><br />ผู้จัดงานจะประกาศชื่อผู้ได้รับรางวัลท่านอื่นในงานวันต่อๆ ไปที่หน้านี้Don de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.com4tag:blogger.com,1999:blog-3730209939703745791.post-29146793851327846822007-03-05T09:14:00.001+07:002007-03-05T09:14:54.269+07:00งานวันที่สอง<span style="color:#663366;">รายงานโดย เจ้าหญิงมิโกมิโกน่า</span><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhEZRxftqVt2A3BBh64u1W1kOKjKeqVlEL9dXE9iLB2xstF54XhrGY5E3BLAOgoGkE1KiSe46-FaXlGyylj3YdlHRyQjZvECpzX5BSN2am7jrbHQIJ0OuNDyMt13ZPf-oQMT_oSi5rflH4/s1600-h/suchart1.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5038234198317595586" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhEZRxftqVt2A3BBh64u1W1kOKjKeqVlEL9dXE9iLB2xstF54XhrGY5E3BLAOgoGkE1KiSe46-FaXlGyylj3YdlHRyQjZvECpzX5BSN2am7jrbHQIJ0OuNDyMt13ZPf-oQMT_oSi5rflH4/s320/suchart1.jpg" border="0" /></a><br /><br />งานวันนี้มีคุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี มาร่วมงานเสวนา ในหัวข้อ 'สิงห์สนามหลวง พูดถึง ดอนกิโฆเต้ฯ' ร่วมกับคุณอรรคภาค เล้าจินตนาศรี คุณสุชาติเล่าว่าสนใจหนังสือ <em>ดอนกิโฆเต้ฯ</em> ตั้งแต่วัยหนุ่ม เนื่องจากตอนนั้นสนใจวรรณกรรมภาษาต่างประเทศเป็นการส่วนตัว ทั้งได้ยินนักเขียนดังเช่น เฮมิงเวย์ ตอลสตอย จอยซ์ กล่าวถึงหนังสือเรื่องนี้ในแง่ชื่นชม เฮมิงเวย์ถึงขนาดลงทุนเรียนภาษาสเปนเพื่ออ่านนิยายเรื่องนี้ในภาษาต้นฉบับ ทำให้ลองไปหาหนังสือเล่มนี้ ไปหาในห้องสมุดก็ไม่พบ ไปหาในร้านหนังสือเก่าแถวสนามหลวง เจอฉบับย่นย่อของสำนักพิมพ์เดล จึงซื้อมาอ่านเพื่อให้รู้ว่าเกี่ยวกับอะไร<br /><br />คุณสุชาติกล่าวว่า ควรมีการแปล <em>ดอนกิโฆเต้ฯ</em> เป็นภาษาไทยตั้งแต่ 40 ปีก่อน เขาควรได้อ่านฉบับแปลเมื่ออายุ 20 ปี ถ้าได้อ่านตอนนั้นน่าจะจุดประกายให้ได้โลดแล่นมากกว่านี้ "ผมคงโลดแล่นกว่านี้" ตอนนี้เขาอายุกว่าหกสิบแล้ว แต่อ่านแล้วยังรู้สึกเหมือนตนเองเป็นเด็กหนุ่ม<br /><br />ต่อมาคุณสุชาติได้พบ <em>ดอนกิโฆเต้ฯ</em> ฉบับเต็มที่ร้านดวงกมล เป็นฉบับพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เพนกวิน จึงซื้อมา 2 เล่ม ต่อมาคุณสุชาติได้ให้หนังสือหนึ่งเล่มในจำนวนนั้นแก่คุณเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ผู้เพิ่งออกจากป่า<br /><br /><span style="color:#663366;">สู่ฝันอันยิ่งใหญ่</span><br /><br />คุณสุชาติเล่าถึงละครของคณะ 28 เรื่องนี้ว่า ไม่ได้มาจากหนังสือฉบับเต็ม เขาเป็นผู้อำนวยการแสดงของละคร หน้าที่คือ "คอยระวังเวลานักแสดงกับผู้กำกับจะตบกัน เป็นกันชนให้เขา" โปรดักชั่นของเรื่องนี้เป็นเงินถึง 4 ล้านบาท ทำให้อดเกรงไม่ได้ว่าตนเองจะตกเป็นหนี้เป็นสิน<br /><br /><span style="color:#663366;">เนื้อหาของหนังสือ จากมุมมองของ สิงห์สนามหลวง</span><br /><br />คุณสุชาติบอกว่าเราสามารถมอง ดอนกิโฆเต้ฯ ได้ทั้งในแง่งานวรรณกรรม และงานที่ทำให้เราเข้าใจยุโรปศตวรรษที่ 16-17 เนื่องจากหนังสือเรื่องนี้สะท้อนสังคมยุโรปหลายด้านในยุคนั้น ในตอนนั้นสเปนเป็นประเทศมหาอำนาจ เป็นยุครุ่งเรืองและมั่งคั่ง สเปนสนับสนุนการค้นพบดินแดนใหม่ ตอนที่ <em>ดอนกิโฆเต้ฯ </em>ภาคแรกตีพิมพ์ออกมา เรื่องราวในนั้นสะท้อนสเปนในยุคเฟื่องฟูทางศิลปะวิทยาการ สเปนในตอนนั้นเป็นเสมือนศูนย์กลางหนึ่งของโลก เซร์บันเตสเขียนภาคสองออกมา 10 ปีหลังจากนั้น เมื่อภาคสองออกมา สเปนเสื่อมลง เริ่มเสียความเชื่อมั่นในตนเอง มีปัญหาเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งขนานไปกับเรื่องราวของดอนกิโฆเต้ เขาเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นในตนเองในภาคแรก แต่ภาคสองเขาเริ่มยอมรับความจริง เซร์บันเตสน่าจะแสดงให้เห็นสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นนวนิยายเล่มนี้ไม่เป็นเพียงงานวรรณกรรม แต่มีนัยยะเชิงสังคมและประวัติศาสตร์<br /><br />แก่นเรื่องของดอนกิโฆเต้ฯ คือ ความขัดแย้งระหว่างอุดมคติและความเป็นจริงในชีวิต บุคลิกของดอนกิโฆเต้น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายต่อหลายคน แม้กระทั่งคณะสุภาพบุรุษของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ก็น่าจะได้รับอิทธิพลจากบุคลิกเช่นนี้ ดังคำกล่าวของคุณกุหลาบว่า "ผู้ใดเกิดมาเป็นสุภาพบุรุษ ผู้นั้นเกิดมาสำหรับคนอื่น"<br /><br />วลาดิเมียร์ นาโบคอฟ นักประพันธ์ชั้นเอกกล่าวไว้ว่า "ก้าวแรกที่ดอนก้าวเท้าออกจากหมู่บ้านลามันช่า สิ่งที่เรียกว่าโลกสมัยใหม่ได้ปรากฏขึ้น" เซร์บันเตสเขียนนิยายสมัยใหม่และยังให้กำเนิดตัวละครสมัยใหม่ นิยายตามขนบสเปนในยุคนั้นคือนิยายอัศวิน แต่เซร์บันเตสกลับเขียนให้ตัวละครเขามีลักษณะ anti-hero คือมีบุคลิกที่ต่างไปจากบุคลิกตามขนบโดยสิ้นเชิง แทนที่พระเอกจะหล่อล่ำ แข็งแรง กลับเป็นชายวัยห้าสิบปีเศษผู้ผอมแห้ง ทว่า ตัวละครผู้นี้กลับมีความคิดอุดมคติ เขาเชื่อในอุดมการณ์ดีงาม ความเชื่อของเขานำทางเขาไป ดังคำกล่าวเช่น แสงดาวแห่งศรัทธา ของจิตร ภูมิศักดิ์ หรือวาทะ "An ideal is like a guiding star." ของตอลสตอย<br /><br />ดอนกิโฆเต้ชวนซานโช่ ปันซ่า ให้ร่วมเดินทางไปด้วย ซานโช่เป็นคนระดับรากแก้วหรือรากหญ้า ตีนติดดิน ยอมตามดอนกิโฆเต้ไปด้วยคำสัญญาว่าจะให้สิ่งของต่างๆ บอกว่าจะให้เอสเอ็มแอลก็ไป บอกว่าจะให้บ้านเอื้ออาทรก็ไป ซานโช่ติดตามดอนกิโฆเต้ไปด้วยความคิดเช่นนี้<br /><br />บทเรียนจากเรื่องนี้มาจากการเดินทาง ซึ่งมีวรรณกรรมสำคัญก่อนหน้านี้หลายเรื่องที่เกี่ยวกับการเดินทาง เช่นอีเลียดและโอดิสซี ในโอดิสซีเล่าถึงการหาทางกลับบ้านของตัวละคร ซึ่งใช้เวลาถึงสิบปีในการกลับบ้าน ยูลิซิสของเจมส์ จอยซ์ บอกการเดินทางในหนึ่งวันของตัวละคร เริ่มตั้งแต่เช้าจรดเย็น หรือแม้แต่วรรณกรรมของไทยเราเช่นเรื่องพระราม ที่เดินทางเป็นระยะเวลานาน การเดินทางเหล่านี้ทำให้เราได้รู้จักตัวเอง<br /><br />ดอนกิโฆเต้ฯ ทำให้เรารู้จักตัวเอง แม้ในเรื่องจะบอกว่าดอนกิโฆเต้เป็นบ้า แต่เขามีสติตลอดเวลา สติทำให้เขาสงสัยและตั้งคำถามถึงเรื่องต่างๆ นอกจากนั้น เขายังมีซานโช่คอยเตือนสติ บทเรียนระหว่างเดินทางทำให้คนเราเปลี่ยนโลกทัศน์<br /><br />คุณค่าของวรรณกรรมที่ดีคือทำให้เราได้คิด ดอนกิโฆเต้ฯ คือหนังสือที่เฮมิงเวย์ใช้คำว่า move หรือ "เคลื่อน" ตัวเขา ดอนกิโฆเต้เป็นคนล้มเหลวที่ประสบความสำเร็จ อาวุธของเขาคือความเชื่อ ซึ่งเป็นดังดวงดาวนำทางให้แก่เขา<br /><br /><br /><br /><span style="color:#663366;">นิยายอัศวินปัจจุบันของบ้านเรา</span><br /><br /><br />ตลาดหนังสือไทยปัจจุบันไม่ได้ต่างไปจากนิยายอัศวินยุคดอนกิโฆเต้เท่าใดนัก เนื่องจากมีนิยายแปลยอดฮิตจากเกาหลี ญี่ปุ่น เซร์บันเตสเขียนเรื่องที่ต่างไปจากคนอื่นในยุคนั้น (ยุคสมเด็จพระนเรศวร) และเรื่องของเขาเกรียงไกรมาจนถึงปัจจุบันนี้ คุณสุชาติกล่าวว่ายังคอยอยู่ว่าจะมีนักเขียนไทยสักคนที่ทำใด้อย่างเซร์บันเตส<br /><br />แต่เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อเราต้องสั่งสมความรู้ ต้องอ่านงานเขียนดีๆ ที่แปลเป็นภาษาไทย ยิ่งอ่านมากยิ่งสร้างสมภูมิรู้ภูมิคิด<br /><br />มีวรรณกรรมสำคัญของโลกที่ควรแปลเป็นภาษาไทยออกมาตั้งแต่ 100 ปีที่แล้ว แต่งานแปลในไทยทำได้เพียงการนำวรรณกรรมชั้นสองมาแปล เช่น ความพยาบาท ของแมรี่ คอลเรลลี น่าเสียดายว่าแม้ไทยจะมีนักเรียนนอกมานาน แต่เรากลับไม่สามารถนำงานที่เป็น "กล่องดวงใจ" ของต่างชาติมาแปลเป็นภาษาไทยได้ วรรณกรรมที่นำมาแปลในบ้านเราเหล่านี้น่าจะมีอิทธิพลทางอ้อมมาถึงวรรณกรรมไทยปัจจุบันไม่มากก็น้อย อย่างนี้หรือไม่ วรรณกรรมไทยจึงวนเวียนซ้ำๆ ซากๆ แต่เรื่องเพ้อฝัน เรื่องครอบครัว<br /><br />เราไม่มีองค์กรทำงานด้านนี้ให้ต่อเนื่อง ไม่มีสำนักงานการแปล ไม่มีใครให้ความสำคัญกับงานแปลอย่างเป็นระบบมาตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 6 เราล้าหลังกว่าสังคมญี่ปุ่น วรรณกรรมคลาสสิกนั้นมีแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นหมดแล้ว บ้านเราเติบโตแบบสะเปะสะปะ หยิบเอากล่องดวงใจเขามาไม่ได้ และช้าเกินไป<br /><br />ในยุคสมัยที่ไทยมีประชากร 8 ล้านคน หนังสือของหม่อมเจ้าอากาศดำเกิง พิมพ์ 2,000 เล่ม ขายหมดภายใน 6 เดือน เทียบกับปัจจุบัน ที่มีประชากรกว่า 60 ล้านคน มีคนไปเรียนต่อเมืองนอกมากมาย มีบัณฑิตจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยปีละร่วมแสนคน มีผู้จบการศึกษาระดับปริญญาเอกจำนวนมาก หนังสือบ้านเราที่พิมพ์ครั้งละ 2,000 เล่มเท่าเดิม ยังขายไม่หมด สิ่งนี้สะท้อนอะไรถึงสังคมไทย สะท้อนว่านักศึกษาและผู้มีการศึกษาไม่ได้อ่านหนังสือ เรามีวัฒนธรรมแท่นพิมพ์และการผลิตหนังสือ แต่ไม่เคยมีวัฒนธรรมการอ่าน ลองถามสำนักพิมพ์ผีเสื้อดูก็ได้ว่าพิมพ์ ดอนกิโฆเต้ฯ กี่เล่ม และขายได้กี่เล่ม<br /><br />อย่างไรก็ตาม เราต้องพยายามต่อไป เริ่มต้นช้ายังดีกว่าไม่ได้เริ่มเลย เราสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ และเริ่มที่หอสมุดแห่งชาติ อันเป็นสถาบันความรู้คู่ชาติ น่าดีใจที่หอสมุดมีการจัดงานนิทรรศการเช่นนี้ ขอให้เราทำตามแบบอย่างดอนกิโฆเต้ที่มีความเชื่อเป็นอาวุธ<br /><br />คุณสุชาติปิดท้ายด้วยเรื่องตลก (หรือคิดอีกทีว่าสะท้อนความไม่รู้เรื่องหนังสือของบ้านเราเพียงใด ก็อาจเป็นเรื่องเศร้ามาก) มีคนถามว่าอยากติดต่อคุณ มนัส จรรยงค์ จะติดต่อได้อย่างไร เขาตอบว่าจะต้องผ่านกระทรวงไสยศาสตร์และเทคโนโลยี นั่นคือผ่านร่างทรง เช่นเดียวกัน เมื่อลูกชายเขาทำงานกับสำนักพิมพ์หนึ่ง สำนักพิมพ์สนใจหนังสือของจิตร ภูมิศักดิ์ จึงขอให้ลูกชายเขาช่วยติดต่อจิตร ภูมิศักดิ์ ให้ด้วย<br /><br />คุณสุชาติปิดท้ายการสนทนาที่สนุกมากครั้งนี้ด้วยบทกวี แด่สู่ฝันอันยิ่งใหญ่ ประพันธ์โดย ศรีดาวเรือง ขึ้นต้นว่า "ถ้าอย่างนั้นฉันจะร้องให้ก้องฟ้า"<br /><br /><br /><span style="color:#663366;">แฟนพันธุ์แท้ ดอนกิโฆเต้ฯ</span><br /><p><br /><br /></p><p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7ciETVl-P7zCbNxA3-2Hy8J8kDMA9CWhESzyESSchqc4sDyCsAEmMIuhFcH5O9UjTUxRj_XEbSmIw9s4EQzj4-1lU2D6V4w9YArrwWhrfAEU1Xtxd8WsVY5XR8Gs2BBYW331Z52rJpqM/s1600-h/fan1.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5038250016682146770" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7ciETVl-P7zCbNxA3-2Hy8J8kDMA9CWhESzyESSchqc4sDyCsAEmMIuhFcH5O9UjTUxRj_XEbSmIw9s4EQzj4-1lU2D6V4w9YArrwWhrfAEU1Xtxd8WsVY5XR8Gs2BBYW331Z52rJpqM/s320/fan1.jpg" border="0" /></a><br />หลังจากนั้นเป็นรายการแฟนพันธุ์แท้ ดอนกิโฆเต้ฯ โดยหนุ่มสาว 10 ท่าน ซึ่งมาร่วมงานด้วยสาเหตุต่างๆ กัน บ้างอยากประชาสัมพันธ์ภาควิชาภาษาสเปนของมหาวิทยาลัย บ้างอยากเป็นนักเขียนและชอบดอนกิโฆเต้ บ้างจะมาตามหานางดุลสิเนอา บ้างมาประกาศว่าฉันคือดุลสิเนอา บ้างบอกตามตรงว่ายังโสดและอยากมาหาแฟนหนุ่มโรแมนติกในงานนี้ ใครรู้ตัวว่าโรแมนติกรีบมาเลย พร้อมแต่งงานทันทีหลังการแข่งขัน </p><p>เสน่ห์ของการแข่งขันนี้ไม่ได้อยู่ที่คำถามและคำตอบมากนัก แต่อยู่ที่คำตอบผิด ซึ่งน่าสนใจจริงๆ เช่นคำถามว่า ภาพประกอบในหนังสือแปลใช้ภาพของ กุสตาฟ ดอเร่ แต่จะเห็นว่าในภาพมีลายเซ็นของอีกคนชื่อ H. Pisan ถามว่าเขาคือใคร</p><p>คำตอบที่ถูกคือ ปิซานเป็นคนแกะแม่พิมพ์ (หนังสือสมัยก่อนพิมพ์ภาพวาดประกอบโดยมีนักวาดมาวาดรูป และมีผู้แกะแม่พิมพ์ ปิซานแกะแม่พิมพ์โดยใช้เหล็กแหลมขูดบนโลหะให้เป็นร่อง ดูลายเส้นละเอียดในภาพแล้วจะเห็นความอุตสาหะและฝีมือของศิลปิน เมื่อจะพิมพ์ภาพ ทำโดยใส่หมึกลงไปและเช็ดออก หมึกจะไปค้างตามร่องที่แกะไว้ เมื่อพิมพ์ลงในกระดาษจะปรากฏลายเส้นเป็นภาพ)</p><p>ผู้เข้าแข่งขันหลายท่านตอบน่ารักมากว่า ปิซานคือเพื่อนของดอเร่ (มีทั้งคำตอบว่าเพื่อนสนิท และเพื่อนรัก) บ้างตอบว่าเป็นเพื่อนของเซร์บันเตสก็มี คุณคมสัน นันทจิต ถูกใจคำตอบเหล่านี้อย่างยิ่งจนอยากให้คะแนน ด้วยอารมณ์ประมาณว่า มาบอกอะไรกันป่านนี้</p><p>คำถามอีกข้อถามฉายาของอัศวินกะรุ่งกะริ่ง มีผู้ตอบว่า ต้อยหมวกแดง</p><p>อีกข้อหนึ่งถามความสามารถพิเศษของดุลสิเนอา หลายท่านตอบว่าร้องเพลงเพราะ และสวย คำตอบที่แท้จริงคือเธอมีฝีมือหมักหมูเค็มเป็นเลิศในแคว้นลามันช่า</p><p>หรือคำถามว่าดอนกิโฆเต้มีปานสีน้ำตาลเข้มกับขนหยาบๆ คล้ายขนหมูปรากฏอยู่ที่ใด หลายท่านตอบว่าที่ก้น</p><p>การแข่งขันมีแต่ความสนุกและรื่นเริงดังรายการตลก ผู้ชนะเป็นนักศึกษาภาควิชาภาษาสเปนจากรามคำแหง ซึ่งเฉือนรองชนะเลิศเพียงคะแนนเดียว แต่น่าชื่นชมสปิริตและความน่ารักของผู้เข้าแข่งขันทุกท่าน</p><p>ก่อนไปฝากคำถามไว้บ้างดีกว่า คำถามนี้เป็นคำถามที่ไม่มีใครตอบถูกเลยในงาน หญิงรับใช้ที่แขวนข้อมือดอนกิโฆเต้ในเรือนแรมนั้นมีชื่อว่าอะไร ?</p><p></p>Don de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-3730209939703745791.post-82085371755958513072007-03-05T07:30:00.000+07:002007-03-05T07:30:19.714+07:00งานวันแรก<span style="color:#993399;">รายงานโดย เจ้าหญิงมิโกมิโกน่า</span><br /><br />บรรยากาศงานนิทรรศการวันแรกเริ่มต้นด้วยความครึกครื้น เมื่อเดินเข้าหอสมุดแห่งชาติ เราจะเห็นป้ายสีสันสดใสบอกทางไปงานนิทรรศการวางตามทางเดินเป็นระยะๆ เมื่อถึงทางเข้าจะเห็นเสาต้นใหญ่หลายต้นห่มด้วยผ้าสีแดงและเหลืองสด มั่นใจว่าเข้าไปแล้วจะได้พบดอนกิโฆเต้เป็นแม่นมั่น<br /><br />เข้าไปแล้วจะเห็นพัดลมตั้งอยู่เป็นอันดับแรก ส่ายหัวไปมาต้อนรับแขกด้วยความร่าเริงยิ่ง โถงหน้าห้องประชุมนั้นแขวนด้วยผ้าผืนยักษ์ พิมพ์วาทะต่างๆ มีภาพวาดสวยงามมากบนผ้า ทั้งภาพดอนกิโฆเต้และซานโช่ ที่เด่นเป็นสง่าอยู่กลางโถงทางเดินคือรูปปั้นดอนกิโฆเต้กำลังอ่านหนังสือ เป็นรูปปั้นปูนปลาสเตอร์สีขาวสวย หุ่นตัวนี้เป็นขวัญใจของทุกคน เป็นดาราที่มีผู้ถ่ายรูปด้วยมากที่สุด เช่นในรูปนี้ คุณสว่างวัน ไตรเจริญวิวัฒน์ ผู้แปลดอนกิโฆเต้ฯ ชักภาพกับหุ่นอัศวิน (ผู้แปลหน้าใสปิ๊งคนนี้กำลังศีกษาระดับปริญญาเอกที่ประเทศสเปน และกลับมาเมืองไทยเพื่องานนี้โดยเฉพาะ) ข้างรูปหุ่นอัศวินมีกระดาษสำหรับให้ผู้มาเยี่ยมชมงานนิทรรศการลงชื่อ รูปนี้แสดงภาพจากงานวันแรก จะเห็นว่าเพียงวันเดียวกระดาษนี้ก็เกือบเต็มเสียแล้ว<br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjcJ7rX0a67AFu7ihlkEVuqOZrF5J3byrOmUfa29sr27N_0W6ZSDEdS6A1arCJCFZD7vLkNglRGIqrTbT8uJKwClzV6Sf4cGJcG0qdmQ9IAM1oLWDLNmgaPLEATAvd8iYLaZ52AE1kwYfg/s1600-h/swangwan.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5038228151003642802" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjcJ7rX0a67AFu7ihlkEVuqOZrF5J3byrOmUfa29sr27N_0W6ZSDEdS6A1arCJCFZD7vLkNglRGIqrTbT8uJKwClzV6Sf4cGJcG0qdmQ9IAM1oLWDLNmgaPLEATAvd8iYLaZ52AE1kwYfg/s320/swangwan.jpg" border="0" /></a><br /><br /><p>รูปนี้ยังแสดงบรรยากาศห้องโถงที่ล้อมรอบด้วยป้ายผ้าสีขาว เป็นบรรยากาศงดงามอลังการไม่น้อย แถมบริเวณนี้ยังคลอไปด้วยบทเพลงจากละครเพลง Man of La Mancha ทำให้เข้าสู่บรรยากาศของยุคอัศวินอย่างน่ารื่นรมย์ (เบื้องหลังของการแขวนผ้าและติดตั้งไฟในบริเวณนี้นั้น ทำให้คนทำงานร้อนและเป็นไก่ย่างห้าดาวไปเลย เพราะบริเวณนี้ไม่มีเครื่องปรับอากาศ)<br /><br /><p>รูปปั้นนี้จัดทำโดย เฉลิมชาติ เจริญดียิ่ง และ อภิชัย วิจิตรปิยกุล ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน (นับวันทำงานจริงประมาณ 20 วัน) ยังไม่นับหนึ่งเดือนก่อนหน้านั้นที่ปั้นหุ่นตัวแรก แต่เนื่องจากใช้เทคนิคที่ไม่ถนัด พบปัญหาจำนวนมาก คิดว่าหากทำออกมาจะได้ผลไม่ดี จึงทิ้งหุ่นตัวเก่าและเริ่มต้นใหม่ (คนทำงานสำนักพิมพ์ผีเสื้อน่าจะเป็นโรคติดต่อที่รักษาไม่หายชนิดหนึ่ง คือหากเห็นอะไรไม่ดีจะทนไม่ได้และทิ้งไปเลย ผู้ทำงานกับสำนักพิมพ์นี้น่าจะไม่ปกติ อย่างไรก็ตาม ในการสัมภาษณ์ศิลปิน เขาไม่ยอมรับว่าตนเองบ้า เพียงแต่บอกว่าเขาทำงานนี้อย่างไม่มีอนาคต เมื่อซักถามมากเข้า เขาตอบว่าเขาไม่คิดถึงอนาคต แต่มีความสุขกับปัจจุบัน อะไรจะเท่และอุดมคติดังดอนกิโฆเต้ไม่มีผิด)<br /><br />หุ่นที่ตั้งแสดงมีน้ำหนักมากพอควร เนื่องจากมีโครงเหล็กข้างใน ส่วนวัสดุนั้นใช้ปูนไป 6 กระสอบ (กระสอบละ 25 กิโลกรัม) แต่ปูนที่ใช้จริงในหุ่นน่าจะประมาณ 4 กระสอบ ศิลปินผู้ปั้นคาดว่าน้ำหนักหุ่นน่าจะประมาณ 150 กิโลกรัม เทคนิคการปั้นคือปั้นปูนสด โดยขึ้นโครงเหล็กแล้วเอาปูนพอก เป็นงานที่บ้าพลัง ทุนต่ำ เวลาน้อย เพื่อให้เสร็จทันเวลางานนิทรรศการ อย่างไรก็ตาม ทำออกมาแล้วน่าภาคภูมิใจ เพราะเห็นใครๆ ก็รักและอยากชักภาพกับหุ่นดอนกิโฆเต้ด้วยกันทั้งนั้น<br /></p><br /><br /><p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiHQQB0z_GzjXuh63ZMmO-Pg5ZsVbIcvLCf4pVScl05aQjgblP2_wgfzCyBdHFKIHp9qPxXZ-L0C5oIhscabyl9YQF2MbQ8a3kk335nj8JoOtIE5H32fTjAguCMuDnTFo39FCC0ntkYsxo/s1600-h/book1_s.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5038222520301517666" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiHQQB0z_GzjXuh63ZMmO-Pg5ZsVbIcvLCf4pVScl05aQjgblP2_wgfzCyBdHFKIHp9qPxXZ-L0C5oIhscabyl9YQF2MbQ8a3kk335nj8JoOtIE5H32fTjAguCMuDnTFo39FCC0ntkYsxo/s320/book1_s.jpg" border="0" /></a><br />หนึ่งในของแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจของงานนิทรรศการครั้งนี้คือหนังสือ <em>ดอนกิโฆเต้ฯ</em> ของฝรั่งเศส ฉบับพิมพ์ปี ค.ศ. 1863 เป็นฉบับพิมพ์ครั้งแรกที่มีภาพประกอบของ กุสตาฟ ดอเร่ หนังสือสองเล่มนี้หอบหิ้วมาจากกรุงปารีสโดยคุณปอล แวงซอง เป็นหนังสือฉบับใหญ่โต แต่ละเล่มหนักกว่า 10 กิโลกรัม ในภาพนี้ผู้แปลและเอกอัครราชทูตสเปนประจำประเทศไทย (ขวาสุดในรูป) กำลังชมหนังสือเล่มนี้ในตู้งานแสดง<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjqE_aQP1fxGWKdHKMkaSA223L0AxZfhnSxqV6sHhDqB8kmUr5UDphXvJB_Zhpk4tkShzbS3xAkU9YA2seFZAy8Uu8HtmepSzgz_pAvwpxZKDwV079gbSwnIACIr3wTqwKIj_udiby4roo/s1600-h/paulwalaya_s.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5038225131641633666" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjqE_aQP1fxGWKdHKMkaSA223L0AxZfhnSxqV6sHhDqB8kmUr5UDphXvJB_Zhpk4tkShzbS3xAkU9YA2seFZAy8Uu8HtmepSzgz_pAvwpxZKDwV079gbSwnIACIr3wTqwKIj_udiby4roo/s320/paulwalaya_s.jpg" border="0" /></a><br />หลังจากบทกล่าวเปิดงานโดยบุคคลสำคัญต่างๆ แล้ว มีการสนทนาบนเวทีโดย อ. วัลยา วิวัฒน์ศร และคุณปอล แวงซอง คุณปอลเล่าว่าไป "ล่า" หนังสือเก่าเล่มนี้ตามร้านหนังสือเก่าในปารีสจนได้พบในที่สุด คุณปอลต้องนำรถเข็นไปขนหนังสือมาใส่รถ วันที่ไปรับหนังสือนั้นฝนตก คุณปอลกางร่มให้หนังสือในรถเข็น โดยตัวเองยอมเปียก ช่างเป็นเรื่องน่าประทับใจเสียนี่กระไร ตอนแรกที่ อ. วัลยาเรียกคุณปอลว่าเป็นอัศวินหน้าเศร้า จึงเรียกเสียใหม่ว่าเป็นอัศวินหน้ายิ้ม เพราะเขาเปี่ยมด้วยอารมณ์ขันและความรักต่อหนังสือ<br /></p><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhZXtKpuhJ9jrWVc-_Jp89z3w4sU0xCl_wF_IR_OA_3aKFSZSm-OOy95_2TMT7fN08CbOQLq2yp8g6DX_gTdtoMUZqwOsAVMU9Jin0ft8XpfLroa7up5k-Dz8StnM1l0mcuuG-_-e9XadI/s1600-h/paul1_s.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5038224757979478898" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhZXtKpuhJ9jrWVc-_Jp89z3w4sU0xCl_wF_IR_OA_3aKFSZSm-OOy95_2TMT7fN08CbOQLq2yp8g6DX_gTdtoMUZqwOsAVMU9Jin0ft8XpfLroa7up5k-Dz8StnM1l0mcuuG-_-e9XadI/s320/paul1_s.jpg" border="0" /></a><br /><br />น้ำใจของคุณปอลทำให้สำนักพิมพ์ผีเสื้อแต่งตั้งให้เขาเป็นอัศวินประจำสำนักพิมพ์ไปตลอดกาล ภาพนี้แสดงคุณปอล แวงซอง และยังได้เห็นฉากหลังเป็นเวทีของงานซึ่งงดงามไม่น้อย ด้านหลังเวทีเป็นผืนผ้า ตรงกลางพิมพ์ภาพเซร์บันเตส ผู้เขียนดอนกิโฆเต้ฯ ชุดเก้าอี้ที่ตั้งบนเวทีนั้นงดงามหาใดปาน เป็นชุดเก้าอี้ขาม้าที่สวยจนเกินบรรยาย<br /><br /><br /><p><br /><br /></p><br /><br /><p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhNrp1RYMi4jiBfgCCe8hxFFNq6O4Xm8S8e_paKbT5AC8SlhH3mrzNuDt8LhYLgshc4_30W52xQ9ltdLm3-g1wygV8VdHfJEGz4Alxv-rbCeKMEgg8be1J4Td0INwjuFXyeuXvi51FCJJA/s1600-h/swangwan_walaya_s.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5038225449469213586" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhNrp1RYMi4jiBfgCCe8hxFFNq6O4Xm8S8e_paKbT5AC8SlhH3mrzNuDt8LhYLgshc4_30W52xQ9ltdLm3-g1wygV8VdHfJEGz4Alxv-rbCeKMEgg8be1J4Td0INwjuFXyeuXvi51FCJJA/s320/swangwan_walaya_s.jpg" border="0" /></a><br />หลังจากนั้นเป็นการเสวนาโดย อ. วัลยา วิวัฒน์ศร หนึ่งในบรรณาธิการต้นฉบับ และ สว่างวัน ไตรเจริญวิวัฒน์ ผู้แปล บรรยากาศออกแนวสบายใจ ดังจะเห็นได้จากภาพนี้ที่ต่างคนต่างยิ้มแย้มรื่นเริง ผู้แปลบอกเล่าเรื่องน่าสนใจหลายประการในการแปล เช่นทำงานหนักจนต้องไปค้างบ้าน อ. วัลยา ระยะหนึ่ง หรือเมื่อติดขัดข้อมูลต่างๆ ต้องติดต่อสอบถามผู้อื่น แม้กระทั่งท้องฟ้าจำลองนั่นเลยเชียว คำพูดบางคำต้องคิดแล้วคิดอีกกว่าจะได้มา เช่นคำว่า 'เรือนแรม' ที่บ้านเรามักคิดว่าคือ 'โรงเตี๊ยม' แต่ถ้าแปลเช่นนั้นแล้ว คนต้องนึกภาพดอนกิโฆเต้ผูกผมจุกเป็นเอี้ยก้วยแน่นอน จึงมาลงท้ายด้วยคำว่า 'เรือนแรม' ที่ไพเราะหาน้อยไม่ </p><p><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgS7WoFExpp6KMa1hX9nY6fI-BtOtcyqqMxTTUPIQRsx07D40uXjuc88SX2bBW1v9aFyuLOUDPrMCZ88yzV9rjKVn6J_a96WU1M-ap4Wl1brvFbLQe_M9XPK9KMr5W7qWxdho30kju6r8s/s1600-h/sorrowfulFace_s.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5038226381477116834" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgS7WoFExpp6KMa1hX9nY6fI-BtOtcyqqMxTTUPIQRsx07D40uXjuc88SX2bBW1v9aFyuLOUDPrMCZ88yzV9rjKVn6J_a96WU1M-ap4Wl1brvFbLQe_M9XPK9KMr5W7qWxdho30kju6r8s/s320/sorrowfulFace_s.jpg" border="0" /></a> </p><p>ส่วนรูปสุดท้ายนี่เป็นเรื่องส่วนตัวของข้าพเจ้าเอง รูปปั้นนี้แสดงในตู้กระจกของงานนิทรรศการ มียุงที่กินเลือดจนตัวบวมเป่งตัวหนึ่งเกาะที่ต้นคอของรูปปั้นนี้ เมื่อเห็นเข้า ข้าพเจ้าทนไม่ได้ด้วยคิดว่าอัศวินของเรานอกจากจะอ่านหนังสือจนเป็นบ้าแล้ว ยังถูกยุงกัดต่อหน้าต่อตา จึงคิดว่าควรไปตามศิลปินผู้ปั้นรูปมาดู ด้วยเขาเป็นผู้ให้กำเนิดหุ่นนี้ น่าจะเดือดเนื้อร้อนใจไม่น้อย ปรากฏว่าเมื่อศิลปินมาเห็นเข้ากลับทำหน้าเฉยเมยไม่แยแส สีหน้าบอกความว่า 'เรียกมาดูด้วยเรื่องแค่เนี้ย' เขาบอกว่าเดี๋ยวยุงมันก็ไป อัศวินดอนฯ มีเสื้อเกราะ ไม่เป็นไรหรอก<br /></p><p>ข้าพเจ้าไม่อยากเชื่อว่าศิลปินจะใจร้ายกับดอนฯ ถึงเพียงนี้ แต่คิดไปก็เข้าใจได้ ด้วยผู้ปั้นหุ่นผู้นี้พกมีดขนาดใหญ่ติดตัวตลอดเวลา อดสงสัยไม่ได้ว่ามีปัญหาส่วนตัวใดในชีวิต เมื่อถามว่าพกมีดประจำตัวเลยหรือ เขาตอบว่าเป็นธรรมชาติของคนทำงานอาชีพเกี่ยวกับงานศิลปะที่ต้องพกมีดติดตัวทุกคน จะด้ามเล็กใหญ่แล้วแต่ ความรู้นี้จุดแสงสว่างให้ข้าพเจ้าไม่น้อย สรุปได้ว่าศิลปินชายนั้นเป็นบุคคลอันตรายยิ่ง (นอกจากพกมีดแล้ว เมื่อถามถึงอาวุธอื่นที่พกเป็นประจำ เขาตอบว่าไขควง และขวาน)<br /><br />สุดท้ายแล้วข้าพเจ้าไปตามบุคคลผู้หนึ่งที่ทำหน้าเซ็งเช่นเดียวกับศิลปิน แต่อาจเบื่อรำคาญมากกว่า จึงไขตู้และไล่ยุงออกไป (ไม่ได้เพียงไล่ แต่บี้ยุงนั้นให้ตายคาตู้นิทรรศการ อาจเพื่อตัดรำคาญไม่ให้ไปเรียกเขามาดูด้วยเรื่องแค่นี้อีก ข้าพเจ้าไม่ได้หวังให้เขาทำถึงขนาดนั้น ใครเห็นศพยุงอ้วนตายจมกองเลือด โปรดทราบว่ามาจากข้าพเจ้าเอง)<br /><br />ดูท่วงท่าดอนกิโฆเต้ในรูปปั้นนี้เถิด ดูเขาจะจดจ่อกับความคิดบางอย่าง ถามจริงว่าจะทนเห็นเขาถูกยุงกัดนานๆ ได้หรือไร</p><p>แล้วคุณว่าดอนกิโฆเต้กำลังคิดอะไร</p><p> </p>Don de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-3730209939703745791.post-20553323923355010682007-03-04T10:11:00.000+07:002007-03-04T10:11:40.903+07:00ฮาโรลด์ บลูม อ่าน ดอนกิโฆเต้ อย่างไร<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg4XaGl3VFhywE5q4ZtV7SAFDjy01WS6QCa2mXnmEpSxqZH4p6HiOuvUDlLRFxEwLMOjwKmWv86o3vZS_7imCKYQxxhEA1B0qnxtGBYa3Ug1d-KrqRtBm55DKA1nDTmL7UGjkodoTDqfAw/s1600-h/donsancho.jpg"><img style="margin: 0px auto 10px; display: block; text-align: center; cursor: pointer;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg4XaGl3VFhywE5q4ZtV7SAFDjy01WS6QCa2mXnmEpSxqZH4p6HiOuvUDlLRFxEwLMOjwKmWv86o3vZS_7imCKYQxxhEA1B0qnxtGBYa3Ug1d-KrqRtBm55DKA1nDTmL7UGjkodoTDqfAw/s320/donsancho.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5037669414413138738" border="0" /></a><br />ฮาโรลด์ บลูม นักปราชญ์ด้านวรรณกรรมชาวอเมริกัน เขียนไว้ว่า เซร์บันเตสและเช็คสเปียร์เสียชีวิตในวันเดียวกัน และต่างเป็นนักเขียนตะวันตกฅนสำคัญนับตั้งแต่ดานเต้เป็นต้นมา จวบจนบัดนี้ยังไม่มีนักเขียนฅนใดเทียบเทียมทั้งสองได้ ไม่ว่าจะเป็นตอลสตอย เกอร์เธ ดิกเกนส์ พรูซต์ จอยซ์ ไม่เพียงเท่านั้น นักเขียนรุ่นหลังไม่อาจหลบหนีพ้นจากเซร์บันเตสได้ ดิกเกนส์ โฟลแบรต์ จอยซ์ และพรูซต์ ต่างสะท้อนวิธีการเล่าเรื่องของเซร์บันเตสทั้งสิ้น<br /><br />บลูมแนะนำการอ่าน <span style="font-style: italic;">ดอนกิโฆเต้ฯ</span> ไว้ในหนังสือ <span style="font-style: italic;">How to Read and Why</span> (2000) ว่า “หากจะพูดคุยกันในเรื่อง ควรอ่านนวนิยายอย่างไร จำเป็นต้องกล่าวถึง <span style="font-style: italic;">ดอนกิโฆเต้ฯ</span> ของเซร์บันเตส ซึ่งเป็นนิยายเล่มแรกและนิยายดีที่สุดของนิยายทั้งมวล อีกทั้งยังเป็นมากกว่านิยาย"<br /><br />เนื่องจาก <span style="font-style: italic;">ดอนกิโฆเต้ฯ</span> เป็นหนังสือยาวมาก บลูมจึงแนะนำให้ผู้อ่านพิจารณามิตรภาพระหว่างดอนกิโฆเต้และซานโช่ ปันซ่า ซึ่งเป็นมิตรภาพที่จะไม่เห็นที่ไหน แม้แต่ในงานของเช็คสเปียร์<br />ดอนกิโฆเต้และซานโช่โกรธเคืองผิดใจกันหลายครั้งหลายหน แต่กลับมาคืนดีกันเสมอ และไม่เคยคลายความรักความภักดีต่อกัน บทสนทนาของทั้งสองมีความหมายและมีความสำคัญ ลองเปิดหนังสือดูสักหน้า เราอาจพบถ้อยสนทนาระหว่างนายบ่าวคู่นี้ ซึ่งอาจอยู่ในอารมณ์ขุ่นเคืองหรือรื่นเริง แต่เปี่ยมความรักใคร่และมีพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน<br /><br />เราต่างอยู่ในหนังสือเล่มนี้ มีเกียรติได้ฟังบทสนทนาชั้นยอดระหว่างอัศวินและซานโช่ ปันซ่า อัศวินสำรองของเขา บางครั้งตัวเราหลอมไปกับเซร์บันเตส แต่ส่วนใหญ่เราเป็นนักเดินทางที่ไม่มีใครเห็น ผู้ร่วมทางกับคู่หูเลิศล้ำไปในการผจญภัยและในเหตุการณ์เคราะห์ร้ายต่างๆ<br /><br />เราจำต้องตระหนักขณะอ่าน <span style="font-style: italic;">ดอนกิโฆเต้ฯ</span> ว่า เราไม่อาจวางตัวว่าฉลาดเหนืออัศวินและซานโช่ได้ เนื่องจากเวลาทั้งคู่อยู่ด้วยกัน เขารู้มากกว่าที่เรารู้ เมื่องานเขียนยิ่งใหญ่นี้จบลง อัศวินและซานโช่รู้แน่ชัดว่าตนเป็นใคร ซึ่งไม่ใช่จากการผจญภัยเท่ากับจากบทสนทนาสุดวิเศษของทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็นการถกเถียงหรือการแลกเปลี่ยนความเห็น<br /><br />แม้ทั้งสองจะโต้เถียงกันเผ็ดร้อนเพียงไร แต่ความรักและหวังดีต่อกันของทั้งคู่ไม่เคยลดน้อยลง ทั้งสองเรียนรู้ซึ่งกันและกันตลอดเวลา ต่างฝ่ายต่างเปลี่ยนแปลงตัวเองจากการได้ฟังอีกฝ่ายหนึ่ง ดอนกิโฆเต้และซานโช่ได้พัฒนาตัวตนใหม่ที่รุ่มรวยกว่าเดิม ค่อยซึมซับคุณค่าที่อีกฝ่ายยึดถือทีละน้อย การมองเห็นอันวิปลาสของดอนกิโฆเต้ เริ่มมีมิติที่ฉลาดและรอบคอบขึ้น ส่วนภูมิปัญญาชาวบ้านของซานโช่ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับโลกเกียรติยศของอัศวิน แม้ธรรมชาติของทั้งสองจะไม่เคยหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว แต่ทั้งคู่ได้เรียนรู้การพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน<br /><br />บทกวี โดยเฉพาะของเช็คสเปียร์ สอนให้เราคุยกับตัวเอง แต่ไม่ได้สอนให้คุยกับคนอื่น ทว่า ดอนกิโฆเต้และซานโช่รับฟังกันและกันจริงๆ อีกทั้งเปลี่ยนแปลงตัวเองไปจากการรับรู้นี้--- มิตรภาพระหว่างซานโช่ ปันซ่าและอัศวินของเขา เลิศล้ำกว่ามิตรภาพอื่นใดในทางวรรณกรรม<br /><br />อาการบ้าของดอนกิโฆเต้เกิดจากความตั้งใจจะวิกลจริตโดยแท้ นั่นคือเป็นความบ้าที่ไม่ได้มาจากเหตุผลอื่นใด ดังจะเห็นได้จากบทสนทนาระหว่างซานโช่และดอนกิโฆเต้ดังนี้<br /><br /><blockquote style="color: rgb(51, 51, 153);"> “ข้าเข้าใจว่า อัศวินที่ทำดังนั้นก็ด้วยมีเหตุกระตุ้น แล้วนายท่านเล่าขอรับ อะไรคือเหตุให้ท่านต้องกลายเป็นบ้า หญิงใดเมินเฉยท่าน … หรือมีเค้ามูลส่อว่า แม่หญิงดุลสิเนอาแห่งโตโบโซ่คบชู้สู่ชาย … หรือขอรับ”<br /><br />“นี้แลคือข้อหมายสำคัญ” ดอนกิโฆเต้ตอบ “นี้คือความละเอียดอ่อนของสิ่งที่ข้าจะกระทำ การที่อัศวินพเนจรบ้าคลั่งด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งย่อมไม่มีคุณค่าอันใด ความวิเศษของมันอยู่ที่ว่าไม่มีมูลเหตุอันใดต่างหากเล่า …”</blockquote><br />เช่นนี้แล้ว จะกล่าวได้ว่าดอนกิโฆเต้เป็นคนเสียจริตละหรือ เขาไม่ใช่ฅนโง่และไม่ใช่ฅนบ้า เขามักจะมองเห็นอย่างน้อยสองด้าน นั่นคือเห็นด้านที่เราเห็น แต่เขาเห็นอย่างอื่นด้วย ซึ่งเป็นความเกรียงไกรที่เขาปรารถนาจะมอบให้ หรืออย่างน้อยได้มีส่วนแบ่งปัน<br /><br /><span style="font-style: italic;">ดอนกิโฆเต้ฯ</span> เป็นทั้งโศกนาฏกรรมและสุขนาฏกรรม เซร์บันเตสทำให้ฅนอ่านรื่นเริงบันเทิงใจ การอ่าน <span style="font-style: italic;">ดอนกิโฆเต้ฯ</span> เป็นความเพลิดเพลินไม่สิ้นสุด เราต่างเป็นตัวละครหนึ่งของเซร์บันเตส เป็นส่วนผสมของดอนกิโฆเต้กับซานโช่<br /><br />หากจะถามว่าเหตุใดจึงควรอ่าน <span style="font-style: italic;">ดอนกิโฆเต้ฯ</span> นั่นเพราะว่าเป็นนิยายดีที่สุดและเป็นนิยายเล่มแรกสุดของนิยายทั้งปวง<br /><br /><span style="font-style: italic;">ดอนกิโฆเต้ฯ</span> คือกระจกที่ไม่ได้ส่องให้เห็นธรรมชาติ แต่ส่องให้เห็นตัวตนผู้อ่าน มีส่วนหนึ่งในตัวเราที่เรายังไม่ได้รู้จักอย่างแท้จริง จนกว่าจะได้ไปรู้จักดอนกิโฆเต้ และซานโช่ ปันซ่า<br /><br /><br />แปลและเรียบเรียงจาก<br />* Bloom, Harold. <span style="font-style: italic;">Introduction: Don Quixote, Sancho Panza, and Miguel de Cervantes Saavedra</span>. 2003.<br />* Bloom, Harold. <span style="font-style: italic;">How to Read and Why</span>. Scribner, 2000.<br /><br />จาก สูจิบัตร งานนิทรรศการหนังสือดอนกิโฆเต้ฯ 3-10 มีนาคม 2550<br /><br />* ภาพประกอบโดย Honore Daumier (1808 - 1879)Don de Bangkokhttp://www.blogger.com/profile/06750349823942941934noreply@blogger.com0