วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

นวนิยายดีที่สุดในโลก ดีอย่างไร

รายงานโดย เจ้าหญิงมิโกมิโกน่า

เสาร์ที่ 14 กรกฎาคม 2550 13.30 น.
เสวนา ‘นวนิยายดีที่สุดในโลก : ดีอย่างไร’ โดย วัลยา วิวัฒน์ศร, ปณิธิ หุ่นแสวง และมกุฏ อรฤดี

มกุฏ : ผู้แปลชาวเกาหลีเคยถามว่าประเทศคุณเพิ่งแปลดอนกิโฆเต้ฯ หรือ เวียดนามแปลก่อนเราเกือบสามสิบปี จึงรู้สึกกระตือรือร้นเมื่อหอสมุดธรรมศาสตร์ติดต่อให้จัดนิทรรศการ สำนักพิมพ์ผีเสื้อพิมพ์หนังสือหนึ่งร้อยเล่มมอบให้ธรรมศาสตร์ ก่อนหน้านี้มอบให้ห้องสมุดเรือนจำสามร้อยเล่ม เพราะห้องสมุดเรือนจำน่าจะมีคนที่มีการศึกษาเข้ามาอยู่มากในอนาคต หรือไม่ก็ให้ผู้ที่อยู่ในเรือนจำมีความรู้เพิ่มขึ้น

ความรู้สึกของสำนักพิมพ์ขณะจัดทำดอนกิโฆเต้ฯ เป็นภาษาไทย ซึ่งคุณเวียง วชิระ บัวสนธ์ กล่าวถึงตัวผมว่าบ้าที่จะทำหนังสือเล่มนี้ ผมก็เห็นว่าสี่ร้อยปีก่อน เซร์บันเตสก็บ้า มีคำขอบคุณมากมายในหนังสือ ซึ่งแท้จริงแล้ว คนที่เขียนอุทิศให้เหล่านี้ไม่ได้เป็นผู้อุปถัมภ์เซร์บันเตส ตอนที่เขาเขียนต้นฉบับก็ไปหาคนเหล่านี้ แต่ไม่ได้รับความช่วยเหลือ คนเราถ้าไม่บ้าเสียก่อน คงไม่อยู่มาได้ถึงสี่ร้อยปี หนังสือเล่มนี้อยู่ได้ถึงสี่ร้อยปีด้วยความบ้า อยากให้มหาวิทยาลัยไทยมีดอนกิโฆเต้ฯ ฉบับของตัวเอง ต่อไปขอเชิญ อ. ปณิธิ กับ อ. วัลยา

อ. ปณิธิ : ที่จริงแล้ววันนี้ผมกับ อ. วัลยา ควรไปอยู่สถานทูตฝรั่งเศสมากกว่า เพราะเป็นวันชาติฝรั่งเศส หัวข้อเสวนาวันนี้คือ 'นวนิยายดีที่สุดโลก ดีอย่างไร' ต้องบอกว่าดีที่สุดในโลก หรือดีสำหรับคนนี้ คนนั้น แต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน ในสายตาผม หนังสือดีที่สุดคือหนังสือที่ตกในมือของผู้อ่านในอุดมคติ คือผู้อ่านที่ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย อย่างผมกับ อ. วัลยา อ่านมามาก เรียนมามาก อย่างที่คุณมกุฏเตรียมที่ไว้ให้แล้วในเรือนจำ เราเป็นนักอ่านที่ polluted คือมีกรอบ มีอคติ มีความคาดหวังต่างๆ ผมในฐานะคนสอนวรรณกรรมจะบอกว่าดีที่สุดนั้นดีอย่างไร

มีศาสตราจารย์คนหนึ่งมาจากแคนาดา คนขับรถจากอีสานของเขาอ่านดอนกิโฆเต้ฯ อ่านอย่างชอบมาก อ่านได้เรื่อยๆ เขาอ่านหนังสือนี้ได้ในฐานะเป็นนักอ่านบริสุทธิ์ แสดงว่าหนังสือต้องดี ดีแม้กระทั่งนักอ่านที่ไม่ได้คาดหวังอะไร เสียดายที่คนทั่วๆ ไป เห็นหนังสือก็กลัวแล้ว

ที่หนังสือดีเพราะสำนักพิมพ์จัดทำหนังสือสวย ผมภูมิใจ ไปไหนก็ถือไปด้วย คืออย่างนี้ครับ หนังสือที่สามารถจะฉลองหนึ่งร้อยปีมาได้สี่ครั้ง ไม่ใช่หนังสือธรรมดาแน่ๆ ปีที่ดอนกิโฆเต้ฯ ตีพิมพ์คือปีเดียวกับที่เช็กสเปียร์นำบทละคร แฮมเล็ต มาแสดง พี่เบิ้มยักษ์ใหญ่ในวรรณกรรมตอนนั้นคือเช็กสเปียร์ ในปีนั้นโลกวรรณกรรมยังมีที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันคือดอนกิโฆเต้ ทำไมหนังสือเล่มนี้ยังฉลองมาได้สี่ร้อยปี และคงฉลองได้เรื่อยๆ

หนังสือเล่มนี้เมื่อแต่งแล้ว ผู้แต่งมอบให้คนอ่าน ไม่ได้แสดงตัวว่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ วิธีที่มอบให้คนอ่านทำอย่างไร ข้อสังเกตส่วนตัวของผมคือคนแต่งไม่ได้แสดงตัวมากในบท ผู้เขียนกล่าวในคำนำว่าหนังสือเล่มนี้ถึงเป็นลูก ก็เป็นแต่เพียงลูกเลี้ยง เสมือนว่าตัวเองเป็นแต่เพียงผู้เรียบเรียงเรื่องที่มีผู้บันทึกไว้ในเอกสารที่แคว้นลามันช่า ในบทที่เก้า ดอนกิโฆเต้ออกผจญภัยไปพบชาวบาสก์ เงื้อดาบ แล้วท้ายบทก็บอกว่าต้นฉบับขาดเพียงเท่านี้ เหมือนดูดีวีดีหมดม้วน ไม่มีแล้ว บทที่สิบ ผู้เล่าบอกว่าไปเที่ยวตามหาต้นฉบับ จนวันหนึ่งไปเจอในเมืองโตเลโด้ ไปพบเอกสารตอนต่อจากเรื่องในบทที่เก้า ปรากฏว่าต้นฉบับเป็นภาษาอาหรับ เขียนโดยนักประวัติศาสตร์ ต้องเอาต้นฉบับไปให้คนแปลเป็นภาษาสเปน แค่นี้ก็เป็นความสมัยใหม่ สำหรับผมนะฮะ ในที่สุดแล้ว เซร์บันเตสไม่แสดงตัวกับผู้อ่านเลยว่าหนังสือเล่มนี้เป็นงานเขา แต่เป็นงานใครไม่รู้ เซร์บันเตสถอนตัวจากผลงานเล่มนี้อย่างสิ้นเชิง อำพรางตัวเอง หนังสืออะไรก็ตามที่ผู้เล่าไม่ได้บอกว่าตัวเล่า ก็จะมีเสียงคนอื่น จนเราไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นคนเล่า เมื่อเราระบุไม่ได้ ความเข้าใจของเรา การตีความต่างๆ ก็จะเป็นของผู้อ่านอย่างเดียว ผู้อ่านจะเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ

"ท่านย่อมมีอิสระเสรีเต็มที่ ปราศจากข้อบังคับหรือข้อกริ่งเกรงใดๆ
ท่านย่อมติชมความดีหรือไม่ดีของนิยายเรื่องนี้ได้ตามพึงพอใจ
มิพักต้องหวั่นเกรงว่าจะมีผู้ติฉินหากกล่าววิพากษ์ หรือจะมีผู้ยกย่อง
แม้นท่านกล่าวชมเชย"
-- อารัมภบท ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน



ในอารัมภบท เซร์บันเตสให้อิสระผู้อ่านว่าจะตัดสินนิยายเรื่องนี้อย่างไร เป็นอิสระของผู้อ่านที่จะตีความ คุณมกุฏอ่านแล้วมีความเห็นอย่างหนึ่ง อ. วัลยาอ่านแล้วมีความเห็นอย่างหนึ่ง ผมอ่านแล้วมีความเห็นอย่างหนึ่ง ไม่มีใครบอกว่าฉันชนะแล้วเพราะค้นพบความจริง ไม่มี ดังนั้น จะมีความหมายพอกพูนใหม่ตลอดเวลา ดังนั้นความดีข้อแรกของนวนิยายเรื่องนี้ คือเป็นความเอื้อเฟื้อของผู้ประพันธ์ที่มอบงานให้ผู้อ่านตลอดเวลา

หนังสือว่าด้วยเรื่องอะไร คุณมกุฏบอกว่าเป็นเรื่องของคนบ้า หนังสือที่ว่าด้วยคนบ้า ไม่รู้ว่าบ้าหรือดี เป็นลักษณะประจำของดอนกิโฆเต้ พอเอ่ยชื่อดอนกิโฆเต้ ทุกคนรู้ว่าคือคนที่ไม่สามารถแยกความจริงจากความลวง เป็นตำนานที่คนรู้จักทั่วๆ ไป เช่นรู้จักดาวพระศุกร์ โกโบริ แม้จะไม่เคยอ่าน ถ้าถามผม ความสนุกคือการผจญภัยต่างๆ สู้กับสีลม มากมายก่ายกอง

เนื้อหาอย่างหนึ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมคือดอนกิโฆเต้ฯ เป็นนวนิยายของนวนิยาย เป็นหนังสือที่ว่าด้วยนวนิยาย เอาปัญหาของนวนิยายขึ้นมาถก มาเล่า มาแรกสอดในตัว นวนิยายเล่มนี้เมื่อเปิดขึ้นมา พบว่าตัวเอกของเรื่องออกผจญภัยเพราะอ่านหนังสือมาก อะไรที่ทำให้ดอนกิโฆเต้แต่งชุดเกราะออกเป็นอัศวินพเนจร เพราะเขาอ่านหนังสือมากจนเสียสติไป ประเด็นนี้สำหรับผมน่าประทับใจมากๆ เอ๊ะ เราอ่านหนังสือจนเสียสติ หนังสือที่ใครบอกว่าทำให้มีสติปัญญา คุณมกุฏที่อ่านหนังสือมาก จะเป็นคนเสียสติเพราะหนังสือหรือเปล่า วรรณกรรมสมัยหลังๆ เอาปัญหานี้มาเป็นปัญหาใหญ่สำหรับตัวละคร เช่น มาดามโบวารี อ่านแต่เรื่องรัก เรื่องรักต้องโรแมนติก ทรมานใจ โบวารีเป็นอย่างนั้นก็เพราะหนังสือ หรือเช่นในเรื่อง โรบินสัน ครูโซ คงจำได้ว่าครูโซออกไปเผชิญชีวิตในเกาะ ใช้ชีวิตตามลำพัง ในหนังสือ Serious Reflections of Crusoe เดอโฟ สมมติให้ครูโซเขียนหนังสือเล่มนี้ บ่นว่ามีคนตำหนิชีวิตเขาประหนึ่งว่าเขาได้ออกทะเลไปมีชีวิตอย่างที่เล่าในนั้น แต่ตัวจริงมีชีวิตบนบกมากกว่าทะเล ครูโซตอบว่าแน่นอน ตัวเขาไม่เคยเห็นทะเล แต่เวลาเราอยู่คนเดียว ถ้ามีชีวิตที่เข้ากับใครไม่ได้ ไม่สามารถมีที่อยู่อยางชัดเจน มีความสุขในสังคม อย่างนั้นไม่เหมือนเราติดเกาะหรอกรึ ในวรรณกรรมหลายเรื่อง ได้นำสิ่งที่มีอยู่จริงมาแทนที่อีกสิ่งหนึ่ง เพื่อแทนความหมายของสิ่งหนึ่ง จะแปลกอะไรถ้าเอาสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงมาแสดงความคิดของเขา

เช่นดอนกิโฆเต้ สมมติสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง สมมติให้โลกของเขาเป็นโลกที่ตรงกับจินตนาการ ปัญหาของดอนกิโฆเต้เป็นปัญหาเจ็บแสบยิ่งกว่า เวลาอ่านหนังสือมากๆ จะคิดว่าโลกเราเป็นเหมือนหนังสือที่อ่านในห้องสมุด ครูโซเพียงแต่เอาแนวคิดที่ไม่มีจริงมาแทนสิ่งจริง ดอนกิโฆเต้บังคับให้โลกของเขาเป็นไปอย่างที่เขานึก ไม่ได้หลงในความจริงความลวง แต่บังคับให้โลกเป็นไป บังคับให้มีปิศาจ เป็นอัศวินมาโจมตี สีลมกลายเป็นอสุรกาย ปกติไม่มีใครทำได้ ความยิ่งใหญ่ของหนังสือคือ ถึงแม้จะเป็นแรงบันดาลใจให้นักเขียนคนอื่น ก็ยังไม่มีใครให้ตัวละครบังคับให้โลกเป็นแบบที่เขาเป็น เมื่อดอนกิโฆเต้ออกเดินทางไปแล้ว เขาอ่านชีวิตของตัวเอง เพราะบทแรกๆ บอกว่าอ่านหนังสือบางเล่มค้างไว้ยังไม่จบ เขาปรารถนาจะเขียนต่อ แต่ยังไม่ได้เขียน สุดท้ายเขาไปใช้ชีวิต บังคับให้โลกเป็นอย่างที่เขาเป็น คนอย่างดอนกิโฆเต้อาจเป็นคนอย่างคุณมกุฏ ตอนแรกใช้ชีวิตด้วยการอ่าน แต่คุณมกุฏอาจเป็นบั้นปลายของดอนกิโฆเต้ ไม่ใช่ตอนเขาหามกลับมากะร่อกะแร่นะครับ ที่สุดแล้วดอนกิโฆเต้ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ แต่เขาอ่านชีวิตของตัวเอง วรรณกรรมเป็นชีวิตจริงๆ ของดอนกิโฆเต้ อยู่ด้วยกันแนบแน่นสนิท แยกจากกันไม่ได้ อินกับวรรณกรรม หนังสือทำให้ชีวิตเราเป็นอย่างดอนกิโฆเต้หรือเปล่า ถูกหรือผิด ใช่ไม่ใช่

คนอื่นก็มองวรรณกรรมเหมือนกัน เมื่อดอนกิโฆเต้ออกผจญภัยครั้งแรกสองวัน มีเพื่อนไม่กี่คน คือบาทหลวงและกัลบก แม่บ้านให้เอาหนังสือไปสำเร็จโทษ ทั้งคู่ทำหน้าที่เป็นนักวิจารณ์ เป็นยาม เป็นคณะกรรมการระแวดระวังทางวัฒนธรรมสำหรับดอนกิโฆเต้ ถ้าเรารักหนังสือจริงๆ อย่างผมไม่รู้จักหนังสือที่บาทหลวงยกขึ้นมาเลย รู้จักบางเล่มเท่านั้น แต่เราจะรู้สึกว่าถูกต้องหรือเปล่าที่เอาหนังสือไปเผา ตอนนี้เรามีคณะกรรมการเซ็นเซอร์ จัดเรทติ้ง เยอะไปหมด เจ็บแสบกว่านั้น หนังสือบอกว่าบาทหลวงจบจากมหาวิทยาลัยซีเกวนซ่า เป็นมหาวิทยาลัยไม่มีชื่อเสียง คนที่เอาหนังสือดอนกิโฆเต้ไปเผาคือบาทหลวงจากวัดบ้านนอก จบจากมหาวิทยาลัยบ้านนอก

ถ้าดอนกิโฆเต้อ่านหนังสือจนสติแตก ที่บาทหลวงตั้งตัว โดยปรึกษารองประธานคือกัลบก ถามว่าสิ่งที่บาทหลวงกระทำ ทำถูกหรือเปล่า นี่คือตอนต้น ตอนท้ายของหนังสือ บาทหลวงไปอภิปรายคุณค่าหนังสือกับท่านเจ้าวัด ตอนท้ายจบด้วยการวิจารณ์คุณค่าหนังสือ เจ้าวัดเริ่มลังเลกับความเห็นของบาทหลวง สุดท้ายผู้อ่านจะไม่รู้ว่าความเห็นใดถูก ดอนกิโฆเต้อาจจะถูกก็ได้ ชีวิตดอนกิโฆเต้อาจเป็นชีวิตที่ถูกก็ได้

บาทหลวงไปเจอหนังสือของเซร์บันเตสในห้องสมุดดอนกิโฆเต้ บอกว่าเขียนไม่ได้เรื่องเลย ชอบเสนอบางอย่างแต่ไม่สรุป นี่คือลักษณะสำคัญของเซร์บันเตส เซร์บันเตสจะเสนอบางอย่างไว้ แล้วเสนออีกอย่างมาโต้เถียงตลอดเวลา ทำให้ผู้อ่านลังเล ครุ่นคิด และหาคำตอบด้วยตัวเองตลอดเวลา ลักษณะหนังสือแบบนี้ชี้ให้เห็นว่าตัววรรณกรรมมีแง่มุมอะไร ความประพฤติตัวละครมีแง่มุมที่จะชี้ว่าถูกผิดได้อย่างไร ใครจะเป็นคนเห็น คนตัดสินใจ ทฤษฎีวรรณกรรมถือว่าดอนกิโฆเต้ฯ เป็นนวนิยายเล่มแรกของโลก มีคนบอกว่าไม่แน่ แต่สรุปได้ว่า ดอนกิโฆเต้ฯ เป็นนวนิยายสมัยใหม่เล่มแรกของโลก คือเป็นวรรณกรรมที่ตั้งคำถามตัวเอง วรรณกรรมสมัยใหม่จะตั้งคำถามเกี่ยวกับตัววรรณกรรมเอง เช่นงานของ วินทร์ ของ ปราบดา หยุ่น ตั้งคำถามว่าจะเล่าเรื่อง จะเล่ายังไง เพราะคนเล่ากันหมดแล้ว ควรทดลองอย่างไร เล่าเรื่องให้คนอ่านปวดหัวยังไง แต่วรรณกรรมเรื่องนี้ทำมาก่อนแล้ว ตั้งคำถามแล้ว

หนังสือนี้เป็นเรื่องของอัศวินพเนจร แต่ดอนกิโฆเต้ไม่ได้ไปไหนไกลเลย กว่าจะตั้งชื่อม้าตั้งหลายวัน แต่เดินทางไปสองวันก็แอ้งแม้งกลับมา เดินทางคราวที่สองก็ไม่ได้ออกจากแคว้นลามันช่า ผมเคยบอกว่าอย่างนี้ขอได้แค่ใบอนุญาตมัคคุเทศก์ท้องถิ่น ลองเทียบกับ ก็องดิด ของวอลแตร์ ออกไปทุกทวีปเลย จากเยอรมันไปคอนสแตนติโนเปิล แต่พ่อเจ้าประคุณของเราอยู่ใกล้ๆ นี้เอง ถึงอย่างไรก็ตาม หนังสือพาเราไปในโลกกว้าง ผู้ประพันธ์เล่าเรื่องมีตัวละครทุกรูปแบบ นิทาน คำกลอน บทเพลง นวนิยายท้องทุ่ง นวนิยายเสเพล มีเรื่องเล่าซ้อนมากมายก่ายกอง เรื่องย่อยเหล่านี้พาเราไป ให้ขอบฟ้าของหนังสือเล่มนี้กว้างไกลออกไป ทั้งๆ ที่อัศวินหน้าเศร้าของเราหน้าเศร้าแต่บริเวณบ้านนั่นเอง ขณะเล่าก็มีการคอมเมนต์ไปด้วย เล่าแบบไหนดี แบบนี้ดีกว่า เล่าๆ ไป ที่ว่าตัวเล่าดีกว่าก็ไม่ดี ตัวเอย่างเช่น ดอนกิโฆเต้พเนจรไปเรื่อยๆ ซานโช่ไม่อยากให้ดอนกิโฆเต้เดินทางต่อไป ก็เล่านิทานเรื่องแพะ ชายคนหนึ่งเลี้ยงแพะ ฯลฯ ดอนกิโฆเต้บอกว่าเล่าอย่างนี้ไม่ดี ไม่ลำดับความ จะเล่าอะไรต้องเล่าลำดับความ ซานโช่บอกว่านิทานบ้านผมเล่าแบบนี้ นอกจากว่าท่านจะมีวิธีไหนที่จะเสนอก็บอกสิ ดอนกิโฆเต้บอกว่าการเล่าต้องเป็นเหตุผลตามลำดับความถึงจะดี

ลองอ่านหนังสือเล่มนี้สิครับ มีแต่ข้าม ไม่เป็นไปตามลำดับเหตุการณ์เลย เมื่อดอนกิโฆเต้พบทาสพายเรือ ดอนกิโฆเต้ชื่นชมว่าอัตชีวประวัติดีที่สุด เพราะจะต้องเล่าเรื่องจริง นัยว่าหนังสือที่ดีต้องเล่าเรื่องจริง แต่นิยายนี้ไม่ได้เล่าอะไรที่จริงเลย ดอนกิโฆเต้อยู่ในโลกที่ตัวสร้างขึ้น ด้วยความไม่จริง เป็นความลวง ดอนกิโฆเต้ประสบอะไรต่างๆ มากมาย มีเรื่องไหนไม่มีความบังเอิญบ้าง เรื่องไหนน่าเชื่อบ้าง ดูเป็นจริงได้บ้าง เรื่องอื่นๆ ล้วนแต่มหัศจรรย์เกินจริงมากไปกว่าเรื่องของดอนกิโฆเต้

เมื่อดอนกิโฆเต้เป็นคนบ้า เอาเครื่องแต่งตัวอัศวินสมมติมาใส่ ผู้หวังดีก็รักษาด้วยความบ้าเหมือนกัน พระปลอมตัวเป็นผู้หญิง การรักษาอาการบ้าของดอนกิโฆเต้ก็รักษาด้วยการต้องทำเป็นบ้าเหมือนกัน เต็มไปด้วยการพรางตัว ถ้าดอนกิโฆเต้บ้า อัศวินกะรุ่งกะริ่งไม่บ้าหรือ ทำไมไม่ไปว่าอัศวินกะรุ่งกะริ่งบ้าง นอกจากเนื้อหาแล้ว เทคนิควิธีบอกว่าอย่าอ่านอย่างนี้ อย่าเชื่ออย่างนั้น ไม่ได้เป็นอย่างนี้เสมอไป อ่านแล้วอย่าอ่านเอาเรื่อง เซร์บันเตสเสนอแต่ไม่สรุป ไอ้ไม่สรุปนี่แหละครับคือความดี กลไกดำเนินเรื่อยไปตลอดเวลา ขณะนี้เราสนใจเรื่องสัมพันธบท เรื่องนี้ก็มี ใครสนใจปัญหาวาทกรรม หนังสือเล่มนี้ก็มี เรื่องของประเพณี วรรณกรรมมุขปาฐะ จดหมายที่สอดแทรกในวรรณกรรม มีหมด สำหรับผม น่าเสียดายที่ผมไม่ได้อ่านหนังสืออย่างคนขับรถของศาสตราจารย์ผู้นั้น ถ้าถามว่าหนังสือดีอย่างไร ถ้าผมต้องสอนวิลชาวรรณคดีศึกษา ไม่ว่าจะดูอะไร หนังสือเล่มนี้ก็มี

อ. วัลยา : ก่อนจะเริ่มเรื่อง สำหรับท่านที่เพิ่งเข้ามาฟัง ชื่อเสวนานี้ไม่ได้มาจากเรา แต่ปีที่หนังสือครบรอบสี่ร้อยปี นักเขียนดังหนึ่งร้อยคนโหวตให้ดอนกิโฆเต้ฯ เป็นหนังสือดีที่สุด อ. ปณิธิ เล่าเรื่องของคุณคนขับรถ คราวที่แล้วที่ผีเสื้อจัดงานนิทรรศการที่หอสมุดแห่งชาติ มีคนหนึ่งมางานทุกวัน เป็นยามบริษัทแห่งหนึ่ง เขาอ่านดอนกิโฆเต้

ดิฉันสนใจวิธีการเขียนของเซร์บันเตส คิดว่าวิธีการเขียนคือสิ่งที่ทำให้หนังสืออยู่มา และอยู่ต่อไป ดิฉันเคยได้ยินชื่อดอนกิโฆเต้มานมนาม รู้จักจริงๆ เมื่อทำงานกับ อ. สว่างวัน (ผู้แปล) อ่านไปหัวเราะไป เป็นวรรณคดีที่ผูกผู้อ่านไว้ ดึงผู้อ่านไว้ กระทบใจผู้อ่านด้วยการใช้อารมณ์ขัน คนอ่านรู้สึกเป็นมิตรกับผู้ประพันธ์ เซร์บันเตสแทรกการเสียดสีไว้ตลอดเวลา ใช้อารมณ์ขันเป็นเครื่องมือ เราสอนวรรณคดี ดังนั้นไม่ใช่นักอ่านที่บริสุทธิ์ พอได้อ่านดอนกิโฆเต้ก็ อ้าว วอลแตร์ที่เคยสอน ที่เรารู้จักดี อ้าว วิธีเขียนของวอลแตร์ก็เหมือนดอนกิโฆเต้ฯ อารมณ์ขันของวอลแตร์ทำให้คนฝรั่งเศสยอมรับสิ่งที่เขาวิพากษ์วิจารณ์ เป็นหนึ่งในนักคิดที่ทำให้เกิดความคิดปฏิวัติในฝรั่งเศส หลายวิธีที่วอลแตร์ใช้จะเจอในดอนกิโฆเต้ฯ วอลแตร์เป็นนักอ่านหนังสือ แน่ใจว่าวอลแตร์ต้องเคยอ่านดอนกิโฆเต้ เพราะมีแปลเป็นภาษาฝรั่งเศสตั้งแต่ปี ค.ศ. 1614

ตั้งแต่แรก ดอนกิโฆเต้ที่ดิฉันชอบคือเทคนิคการเขียน นวนิยายตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน มีหมดแล้วในเล่มนี้ เรื่องความตายของนักเขียน สหบท การแปล การแต่งนวนิยาย ในนี้กล่าวถึงไว้หมด เรื่องตัวตนของผู้เล่าเป็นเรื่องที่มาศึกษากันจริงจังในศตวรรตที่ยี่สิบ ย้อนดูจะเห็นว่านักประพันธ์รู้มาตลอด จะปรากฏตัวตรงไหน จะสร้างความสมจริงอย่างไร

ดอนกิโฆเต้อ่านนิยายอัศวินจนเสียสติ มีใครไหมที่อ่านนิยายจนไม่เสียสติ ก็คือบาทหลวง ผู้อ่านหมดทุกเล่มเลยที่อยู่ในห้องสมุดของดอนกิโฆเต้ ทุกเรื่องวิจารณ์ได้หมด ดังนั้นบาทหลวงอ่านหนังสือที่ดอนกิโฆเต้อ่านทั้งหมด แต่ไม่ได้เป็นบ้า สำหรับ อ. ปณิธิ ดอนกิโฆเต้ไม่ใช่ตัวละคร แต่เป็นชีวิตจริงไปแล้ว เป็นบุคคลในตำนาน

อ. ปณิธิ : ไอ้นักประวัติศาสตร์คนเล่าเรื่องดอนกิโฆเต้นี้เป็นชาวมุสลิม และมุสลิมกับคริสเตียนไม่ถูกกัน เรื่องนี้มีประเด็นทางศาสนาตลอดเวลา บอกว่าเรื่องนี้ถูกบันทึกด้วยคนมุสลิม นี่คือเทคนิคที่ทำให้งุนงง แม้แต่ตัวนักประวัติศาสตร์เอง บางทีได้รับคำชมว่าละเอียด แต่บางทีบอกว่าไม่รู้บิดเบือนหรือเปล่า

อ. วัลยา : เซร์บันเตสบอกว่า เบเนงเฆลีเป็นคนอิสลาม ย่อมมีอคติกับดอนกิโฆเต้ แต่อ่านแล้วเขาชื่นชมดอนกิโฆเต้ ดังนั้นเชื่อถือได้แน่ เพราะแม้แต่นักประวัติศาสตร์มุสลิมยังไม่บิดเบือน

อ. ปณิธิ : หน้า 110 บอกว่า "หากในเรื่องมีสิ่งใดไม่เป็นจริง จะเป็นอื่นไปมิได้ นอกจากว่าผู้ประพันธ์เป็นคนอาหรับ แลรู้กันทั่วไปว่า ชนชาตินี้เป็นอริกับชนชาติเรา" มันพูดไม่ได้เลยว่าผู้ประพันธ์ไม่แม่น เพราะเป็นความตั้งใจของผู้ประพันธ์ที่ล้อเรา ดึงเราออกมา แล้วกลับมาตลอดเวลา ไม่แปลกที่ดอนกิโฆเต้จะสับสนความจริงลวง โลกของเราไม่ว่าจะอ่านเอกสารอะไร ก็ไม่อาจเชื่อได้ว่าจริงไม่จริง มีอคติอะไรตลอดเวลา

อ. วัลยา : ด้านแนวคิดทางวรรณกรรม เรื่องนี้อ้างถึงวรรณคดีตั้งแต่ยุคกรีก โรมัน ตัวละครธรรมดารู้จักเวอร์จิล อิเนียด ใครต่อใคร เรื่องนี้มีตอนหนึ่งที่บรรยายว่า เดินทางไปถึงเจอเมืองหนึ่งแสนงาม มีเพชร มีหญิงพาไปอาบน้ำ แต่งตัวด้วยไหมแพรพรรณ เอาอาหารอย่างดีมาให้ ฉากนี้ก็พบในก็องดิด อันที่จริงความฝันของบุรุษที่ว่าจะเดินทางไปเจอเมืองที่มีทรัพย์สมบัติมากมาย เจอสาวงามมาปรนนิบัติ อาจเป็นความคิดของคนทุกสมัย อีกฉากหนึ่ง ดอนกิโฆเต้เล่าให้ซานโช่ฟัง อ่านแล้วนึกถึงยุคพระศรีอาริย์ ทุกอย่างจะงอกจากพื้นดิน จะอุดมสมบูรณ์ด้วยปลา จะมีผู้หญิงเต็มไปหมด ไม่สวมเสื้อผ้า ถ้าเราอ่านพระมาลัยคำหลวง บอกว่าถ้าทำอย่างนี้จะไปขึ้นสวรรค์ชั้นนี้ มีนางฟ้าดูแลกี่คน อย่างนี้ทำให้เกิดความเป็นสากลในหนังสือ คนชาติไหนก็รับได้ เป็นประสบการณ์สากล ในก็องดิดใช้คำคุณศัพท์บรรยายตัวละครตั้งแต่ A-Z ดอนกิโฆเต้ก็มีเหมือนกัน วอลแตร์พูดถึงสิ่งตรงกันข้ามที่เป็นข้อเสียดสี หรือ ปฏิวลี นี่เป็นวิธีเขียนของวอลแตร์ซึ่งเราเจอในดอนกิโฆเต้ฯ

อีกประเด็นคือเรื่องของมิติเวลาและมิติสถานที่ ตอนแรกดอนกิโฆเต้ผจญภัยสองวันหนึ่งคืน คราวที่สองนับได้ประมาณสิบเอ็ดวัน ไม่ได้ไปไกล แต่ระหว่างทางเจอคนโน้นคนนี้ เล่าเรื่องตัวเอง เรื่องแทรกเหล่านี้พาเราออกไปอีกสถานที่หนึ่ง มิติเวลาหนึ่ง เรื่องแทรกทุกเรื่องพาเราออกไปจากทุ่งม็อนเตียล อ. ปณิธิ ใช้คำว่า 'ขอบฟ้าออกไปไกลขึ้น' เรื่องแทรกส่วนใหญ่ว่าด้วยเรื่องความรัก ความรักหลายๆ แบบ ทำไมต้องเป็นเรื่องรัก เพราะเรื่องรักคือเรื่องที่ดอนกิโฆเต้ไม่มีโอกาสจะมี เขาอายุห้าสิบปี ถือว่าชราแล้ว มีฟันสี่ซี่ ผอมโกรก ด้วยรูปลักษณ์รวมทั้งคำพูดคำจาที่ไม่มีใครเข้าใจ เจอสาวที่ไหนก็คงไม่มีใครอยากใกล้ชิดเขา และยังมีนางในดวงใจอีก ไปบอกนางมารีตอร์เนสว่าต้องซื่อสัตย์ต่อนางในดวงใจ แต่ละเรื่องรักมหัศจรรย์ทั้งนั้น

ภาคสองนั้นเรื่องแทรกเหลือนิดเดียว ดอนกิโฆเต้ไม่ต้องป่าวประกาศแล้วว่าคือใคร เพราะทุกคนรู้จักเขา เนื่องจากมีผู้ตีพิมพ์และเขียนเรื่องเขา

ในอารัมภบท ถ้าปัจจุบันอ่านวรรณกรรม ต้องถามว่าผู้เล่าเรื่องคือใคร รู้แจ้งหรือเปล่า รู้ความคิดจิตใจของตัวละคร หรือเพียงแต่เล่าแล้วให้ผู้อ่านตัดสิน ดอนกิโฆเต้บอกว่าพ่อมดคือผู้เขียนประวัติอัศวิน พ่อมดต้องเขียนเรื่องเขา และต้องรู้ซึ้งถึงจิตใจเขาด้วย เซร์บันเตสบอกว่าเขาเป็นพ่อมด เข้าถึงตัวละครได้ เขาวิจารณ์การเขียนอารัมภบทในสมัยนั้นอย่างคมคาย เซร์บันเตสเขียนสดุดีเรื่องของเขา โดยอ้างตัวละครในนวนิยายอัศวินอื่นๆ ให้มาเขียนชื่นชมดอนกิโฆเต้ เช่น อามาดีสแห่งเกาล่า แม่มดอูร์กันด้า แม่หญิงโอเรียน่าบอกว่าอยากเป็นดุลสิเนอามากกว่า มีม้าบาเบียก้า อัศวินสำรองชื่อกันดาลิน ยังมาชื่นชมและอิจฉาซานโช่ เซร์บันเตสเล่นกับขนบ เหมือนบ้านเราที่ต้องมีบทนำ กวีต้องถ่อมตัวว่าแต่งไม่เก่ง เซร์บันเตสบอกว่าไม่อ้างใครแล้ว จะแต่งเองโดยอ้างคนในนิยาย ผู้อ่านอ่านแล้วเชื่อว่าเรื่องนี้จริง ดอนกิโฆเต้จึงมีชีวิตจริงมาสี่ร้อยปี

มกุฏ : ขณะผมตรวจแก้ต้นฉบับ สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นและเคยเสนอให้ อ. สว่างวัน ทำวิทยานิพนธ์ แต่อาจารย์ที่ปรึกษาไม่ยอมให้หัวข้อนี้

อ. วัลยา : หรืออาจารย์ที่ปรึกษาไม่แน่ใจว่า อ. สว่างวัน จะทำได้

มกุฏ : คือเรื่องเซ็กส์ในดอนกิโฆเต้ อ. ปณิธิ เห็นว่ามีเซ็กส์ปรากฏเต็มไปหมด อ. ปณิธิ อ่านรอบเดียว ผมอ่านสิบสองรอบ บางบทอ่านร้อยเที่ยว นักเขียนคนหนึ่งสามารถเอาเซ็กส์ทุกแขนง ทุกประเภท ทุกชนิด เอาไปอยู่ในหนังสือได้ทั้งหมด ตอนทำต้นฉบับที่ตรวจแก้ ถึงตอนหนึ่ง ห้องทำงานเงียบๆ มีเสียงตะโกนว่า 'เสร็จมันแล้ว' นึกออกไหมว่าตอนไหน มีตอนหนึ่งผู้หญิงเสมือนหนึ่งถูกข่มขืน แต่ไม่บอกนะครับว่าถูกข่มขืน บอกแต่เสื้อผ้าฉีกขาด ผู้อ่านรู้ได้ว่าเสร็จแล้ว คนเขียนเรื่องโรแมนซ์ในสมัยหลังสู้เซร์บันเตสไม่ได้สักคน แกจับเอาพฤติกรรมต่างๆ แม้กระทั่งผู้ชายถ้ำมองก็ยังมี ให้เพื่อนแอบดู หรือตัวเองแอบดูเพื่อน ทำได้อัศจรรย์มาก

อ. ปณิธิ : ไม่ใช่ผมหมกมุ่นนะครับ พยายามชี้ว่าความสมัยใหม่ไม่น่าบังเอิญ เรื่องนี้สนองมุมมองของนักวิจารณ์สม้ยใหม่ได้ หนังสือเปิดมา ดอนกิโฆเต้อายุห้าสิบกว่า เป็นโสด ไอ้ที่อยู่มาเป็นโสดห้าสิบกว่าคืออะไร จำเป็นหรือว่าชอบ ดอนกิโฆเต้ได้ตั้งข้อผูกมัดของตัวเองว่าเมื่ออยู่ใกล้ผู้หญิงจะไม่ทำอะไร ถามว่าตั้งไว้ทำไม ตั้งนางดุลสิเนอาเป็นนางในดวงใจ แอบมองมานานแล้ว พอเล่าไปเล่ามา ก็โกรธซานโช่ บอกแล้วไงว่าเห็นผู้หญิงคนนี้สี่หน พอภาคสองบอกว่า บอกแล้วไงว่าไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนี้เลย ไม่มีวันที่ดอนกิโฆเต้จะเข้าใกล้ผู้หญิงเลย มีผู้หญิงคนเดียวที่เข้าใกล้คือเจ้าหญิงมิโกมิโกน่า ทางวรรณกรรม ผู้หญิงคนนี้มีลักษณะสวย เป็นเจ้า ปรากฏต่อสายตาดอนกิโฆเต้ในฐานะผู้หญิง แต่ผู้หญิงคนนี้คือโดโรเตอา ถ้าถามว่าตั้งแต่ต้น รู้จักเธอมา โดโรเตอามีลักษณะอะไรบ้าง คือเคยปลอมตัวเป็นชาย ลักษณะประจำตัวคือเคยเป็นผู้ชายมาก่อน คนนี้ละครับที่ดอนกิโฆเต้เข้าไปใกล้ด้วย

เพื่อนสองคนรักกันมาก คนหนึ่งแต่งงาน ไปชวนเพื่อนมาอยู่กับเมียตัว อ้างว่าจะดูว่าผู้หญิงซื่อสัตย์หรือเปล่า นี่ถ้าไปอยู่กับจิตแพทย์ที่ไหน เขาก็ต้องบอกว่า มีความปรารถนาลับๆ ต่อผู้ชายด้วยกัน อยากแอบดู ในเรื่อง พ่อโกริโยต์ มีอะไรลับๆ เต็มไปหมด อย่าให้ผมเล่าเลย มันจริงๆ

แม้แต่วรรณกรรมสำหรับเด็ก เช่น เจ้าชายน้อยมองดูรูปลังกระดาษ เห็นแกะในลังกระดาษ เห็นหมวกเป็นงูกลืนช้าง กับคนที่เห็นสีลมเป็นยักษ์ มันต่างกันตรงไหน มุมมองที่มองโลกห้าสิบปี มันหายไปไหนในวันเดียว ถึงครองชีวิตอย่างนั้นได้ กิฆาน่าตายแล้วเกิดใหม่ เป็นคนใหม่ มองโลกด้วยสายตาบริสุทธิ์ ไม่เคลือบแคลงอะไรเลย

พฤติกรรมของดอนกิโฆเต้ไม่ต่างจากพฤติกรรมเด็ก เงินไม่ต้องใช้ ไม่เคยขอโทษ ไปฟันเขา เข้าที่ไหนป่วนที่นั่น ทะลายที่นั่น อยากทำอะไรก็ทำ หนังสือที่ดอนกิโฆเต้อ่าน รูปลักษณ์ก็เหมือนเทพนิยาย ดอนกิโฆเต้เหมือนเด็กที่อ่านเทพนิยาย ดูซูเปอร์แมน สไปเดอร์แมน วันหนึ่งเด็กคนนั้นเชื่อว่าตัวเองกระโดดตึกได้ ปีนกำแพงได้ ก็เป็นหน้าที่ของผู้ศึกษาวรรณกรรมเยาวชนจะวิเคราะห์ ทำไมเจ้าชายน้อย นักฝันผู้เห็นหมวกเป็นงูเหลือมกลืนช้าง เห็นแกะอยู่ในรูปที่วาดใส่กล่อง คำตอบเดียวกับสีลมกลายเป็นยักษ์ หญิงขี้ริ้วเป็นดุลสิเนอา ม้ากะหร่องเป็นโรสินันเต้ สถานที่ต่างๆ กลายเป็นปราสาท

ถ้าลุ่มหลงเจ้าชายน้อยด้วยสายตานี้ ดอนกิโฆเต้คือเด็กที่น่ารักคนหนึ่งเหมือนกัน ไม่ว่าจะอยากอ่านหนังสือแบบไหน ปรับจูนคลื่นนิดเดียว จะพบได้หมดเลย น่าอัศจรรย์จริงๆ นะครับ

วันดีคืนดี ถ้าความเป็นเด็กเกิดในตัวเขา นักบินรำลึกว่าเด็กๆ เคยเป็นเจ้าชายน้อย ดอนกิโฆเต้รักษามุมบริสุทธิ์ โลกต้องเป็นแบบนี้ ต้องมีคนดีแบบนี้ กว่าดอนกิโฆเต้จะยอมรับความจริงคือต้องเพ้อแล้ว

อ. วัลยา : อีกประเด็นเรื่องศิลปะการประพันธ์ คือการเผาหนังสือ เรื่องราวของอัศวินติรันเต้ผู้พิสุทธิ์ บาทหลวงบอกว่า "วิธีการประพันธ์ของหนังสือนี้นับว่าเลิศสุดในโลก ด้วยว่าอัศวินในเรื่องไม่เพียงกินอาหาร แลนอนหลับพักผ่อน อีกทั้งสิ้นชีพด้วยสงบบนเตียงตั่ง แลก่อนตายยังทำพินัยกรรมไว้ด้วย จักหานิยายอัศวินเล่มใดเอ่ยถึงภาระอันต้องทำประจำวันดังที่ข้ากล่าวเป็นไม่มี"

เรื่องของอัศวินคือออกไปโรมรัน ไปต่อสู้ ไม่เคยมีฉากอัศวินขับถ่ายหรือหิว เซร์บันเตสเขียนอัศวินในชีวิตประจำวัน มีฉากทำกิจส่วนตัวสิบกว่าแห่ง ฉากที่มหัศจรรย์ที่สุดคือซานโช่แอบเอาเชือกไปมัดขาโรสินันเต้ ซานโช่อยากขับถ่ายแต่ไปไหนไม่ได้ ก็ปลดกางเกงลงนั่ง ขับถ่าย ดอนกิโฆเต้ได้กลิ่น มีวรรณคดีไหนที่บรรยายฉากนี้ อ่านแล้วขำ หรือหน้า 537 ดอนกิโฆเต้แคะฟัน เคยเห็นไหมคะ พระเอกที่ไหนแคะฟัน ทำไมเซร์บันเตสเสนอตัวละครแบบนี้

อ. ปณิธิ : ถ้าเราเสนอภาพอัศวิน ไม่มีอะไรในเรื่องที่มีด้านเดียว เมื่อเสนอแล้วจะต้องมีสิ่งตรงกันข้ามตลอดเวลา เมื่อเป็นอัศวินแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องอธิบายยืดยาว ข้าเป็นคนองอาจ สุภาพ ใจโอบอ้อม นี่คืออัศวินในอุดมคติ แต่เซร์บันเตสจะบอกว่าไม่มีอัศวินในอุดมคติ อัศวินก็ต้องแคะฟันเหมือนกัน ดอนกิโฆเต้คนเดียวอยู่ไม่ได้ ออกไปสองวันก็กลับมา ต้องมีซานโช่ด้วย อ่านเล่มนี้ บางครั้งเราก็เป็นดอนกิโฆเต้ บางครั้งเราก็เป็นซานโช่ ต้องมีทั้งคู่ ในชีวิตทุกด้าน ต้องมีทั้งความจริงและความลวง มีคุณมกุฏก็ต้องมี Not มกุฏ ผีเสื้อจึงจะอยู่ได้

มกุฏ : แถมอีกนิด ผมไม่รู้สึกว่าจะมีฉากวรรณกรรมไหน ที่มีตัวเอกอึสองครั้งสองครา

อ. ปณิธิ : วรรณกรรมยุคกลางมีเรื่องอย่างนี้เป็นปกติ เรื่องมนุษย์ การขับถ่าย วรรณกรรมให้ชาวบ้านอ่านที่กล่าวถึงของสกปรกต่างๆ ในร่างกาย อาเจียน เศษอะไรต่างๆ มีมากในวรรณกรรมชาวบ้าน ถือว่ามนุษย์ขาดไม่ได้ที่จะเป็นอย่างนี้ เราเกิดจากดินก็ต้องกลับไปที่ดิน โดยเฉพาะละครตลกยุคกลางถือเป็นเรื่องปกติ แต่วรรณกรรมสูงส่งเรื่องไหนจะมีแบบนี้ ก็ไม่มี

มกุฏ : สรุปว่า ถ้าอยากอ่านหนังสือสักเล่มที่ได้ทุกรส ก็ลองอ่านดู อย่างหลังปกว่าไว้

ในชั่วชีวิตหนึ่ง หากแม้นสวรรค์ทรงอนุญาตให้อ่านหนังสือได้เพียงเล่มเดียว
จงเลือกเล่มนี้เถิด ชีวิตจักไม่ตายเปล่าแน่แท้


เรามาที่นี่เพื่อจะบอกว่านี่เป็นหนังสือดี

2 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เมื่อไหร่เว็บจะเสร็จเสียที รอมาเป็นปีๆแล้วนะ

รับแปลเอกสารด่วนทุกประเภท กล่าวว่า...

nice blog, thanks for sharing :)